เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรม Dex Movie Day : Psycho-Pass the Movie ที่ SF Cinema ชั้น 7 ห้างสรรพสินค้า MBK มาครับ เป็นครั้งที่ 2 แล้วหลังจากครั้งก่อนที่ได้ดูคือ นู่นนนน ทามาโกะ เลิฟ สตอรี่ เมื่อต้นปี รอบนี้กดบัตรไปน่าจะเป็นคนแรก ๆ เลย เพราะได้ที่นั่งแถว B ตอนแรกไม่ได้คิดว่าโชคดีที่จองทันอะไรขนาดนั้น จนกระทั่งช่วงใกล้ ๆ จะถึงวันฉายนี่แหละ เลยเริ่มได้ยินเสียงโอดครวญจากหลาย ๆ คนว่าจองไม่ทัน เราก็เลยรู้สึกแฟบูลัสขึ้นมานิดนึง
(บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาซึ่งเป็นสาระสำคัญของเรื่อง อาจทำให้เสียอรรถรสในการรับชม แต่จริง ๆ มันไม่เสียหรอก ไปดูก็ยังสนุกอยู่ดี เชื่อเราเถอะ)
เนื้อเรื่องย่อสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยดูไซโค-พาสมาก่อนคือ ในปี 2113 ที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ในโลกพัฒนาขึ้นอย่างมหาศาล ประเทศญี่ปุ่นได้นำระบบอัจฉริยะซีบิล (Sibyl) มาใช้ในการสร้างเสถียรภาพและระบบระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิตที่ดีให้แก่ผู้คนในสังคม ผ่านการคำนวณค่าไซโค-พาส (Psycho-Pass) ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การหางานทำ การเลือกคู่ครอง ไปจนถึงความตาย เพราะระบบซีบิลนั้นสามารถวัดค่าสัมประสิทธิ์อาชญากรรมของผู้คน โดยคำนวณจากสุขภาพจิต และสภาวะต่าง ๆ เพื่อบ่งชี้ว่าใครเป็นคนปกติ และใครเป็นอาชญากรแฝงที่ต้องเข้ารับการบำบัดเพื่อกลับไปใช้ในชีวิตในสังคม หรือถูกกำจัดทิ้ง
อ่านรีวิวฉบับอนิเมะกันก่อนได้ที่
[REVIEW] Psycho-Pass ถอดรหัสล่า : เมื่อเราตีค่าของคนเป็นตัวเลข
เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดขึ้นในปี 2116 เมื่อกลุ่มประเทศสหภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ SEAUn เริ่มรับเอาระบบซีบิลจากญี่ปุ่นเข้าไปใช้ในการปกครอง โดยเริ่มทดลองใช้ในส่วนของเมืองหลวงลอยน้ำ ชื่อ “ชัมบาลาโฟลต” สวนสวรรค์ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะผู้มีค่าไซโคพาสดีอยู่อาศัยอย่างสุขสบาย ด้านประเทศญี่ปุ่นในขณะนั้น หน่วยสืบสวนอาชญากรรมก็สามารถจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติได้ขณะกำลังพยายามหลบหนี โดยภาพที่ได้จากความทรงจำของหนึ่งในผู้ก่อการร้าย มีความคล้ายคลึงกับอดีตเจ้าหน้าปฏิบัติการแห่งหน่วยสืบสวนอาชญากรรม แผนกที่ 1 กรมรักษาความสงบ กระทรวงสาธารณสุข “โคงามิ ชินยะ” ซึ่งหายตัวไป เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ “สึเนโมริ อาคาเนะ” จึงอาสาเดินทางไปยังชัมบาลาโฟลต เพื่อสืบสวนเรื่องดังกล่าว
ฉากหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง ชัมบาลาโฟลต เมืองหลวงลอยน้ำของ SEAUn (ลักษณะคล้าย ๆ กลุ่มประเทศ AEC ที่รวมตัวกันแบบ EU น่ะครับ แอบสเตอริโอไทป์ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นิดนึงด้วยการมีฉากเป็นปราสาทหินเก่า ๆ นครวัด พระตะบอง เสียมราฐ ในขณะที่ผู้นำหน้าตาดูจีน ๆ ชื่อฟังดูฮ่องกง ๆ) เป็นเมืองไฮเทคที่รับเอาความเจริญจากระบบซีบิลเข้าไป และปิดกั้นให้ผู้ที่ได้รับเลือกเท่านั้นให้เข้ามาอาศัยอยู่อย่างสะดวกสบาย ในขณะที่พวกที่เป็นอาชญากรแฝงนั้นต้องประกอบอาชีพระดับล่าง ๆ อย่างบริกร คนขับรถ ฯลฯ แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือเหล่าประชาชนอีกมากมายที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปในชัมบาลาโฟล์ต ซึ่งต้องอยู่อย่างแร้นแค้นในพื้นที่ภายนอกซึ่งยังมีสงครามไม่เว้นวันนั้นสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศแถบนี้ได้ดีทีเดียว
อ้อ สิ่งนึงที่ผมพึ่งรู้คือ ระบบซีบิลนี่มันมีใช้แค่ในญี่ปุ่นเหรอ ดูอนิเมะแล้วเข้าใจว่ามันมีใช้กันทั่วโลกแล้วตลอดเลย ก็ในเรื่องย่อทางการใช้คำว่า “อาชญากรทั่วโลก” พอได้ดูฉบับภาพยนตร์นี้เลย อ้าว พึ่งมีประเทศอื่นลองใช้เองเหรอ?
สิ่งที่การันตีความสนุกของฉบับภาพยนตร์นี้ได้เป็นอย่างดีคือการได้ “จอมมาร” โอโรบุชิ เก็น (ไซโค-พาส ซีซัน 1, สาวน้อยเวทมนตร์ มาโดกะ มาจิก้า) กลับมารับหน้าที่เขียนบทอีกครั้ง หลังจากที่แฟน ๆ หลายคนบ่นว่าไซโค-พาส ซีซัน 2 นั้น เมื่อปราศจากจอมมารแล้วก็น่าเบื่อ ได้แต่ทนดูให้จบ ๆ ไป ด้านการกำกับนั้นได้ คัตสึยูกิ โมโตฮิรุ และชิโอทานิ นาโอโยชิ มากุมบังเหียน โดยฉบับภาพยนตร์นี้เข้าฉายครั้งแรกในญี่ปุ่นไปตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
มองกันที่เนื้อเรื่อง ฉบับภาพยนตร์นี้ น่าจะเรียกว่าเป็นการแก้ไขความไม่น่าอภิรมย์ของซีซัน 2 มากกว่า หากจะมองในแง่ของการเติมเต็มตอนจบของฉบับอนิเมะนั้นก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านประชาธิปไตย สิทธิในการคิดจะเป็นอะไร จะทำอะไร ของผุ้คนนั้น ยังคงสื่อออกมาได้อย่างเข้มข้น อาจจะเพราะเราอยู่ในประเทศไทยด้วยหรือเปล่า ช่วงนี้เราจึงอินกับประเด็นอะไรพวกนี้เป็นพิเศษ (เอ๊ะ?) และก็เป็นเพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ฉะนั้นประเด็นของระบบซีบิลก็เลยยังไม่ได้มีการต่อยอดจากตอนจบของอนิเมะแต่อย่างใด
สิ่งหนึ่งที่ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าคุณเป็นแฟนไซโค-พาส แล้วคุณพลาดโอกาสมาดูในโรงครั้งนี้ ต่อให้ในอนาคตคุณมีโอกาสได้ดูมัน ไม่ว่าจะผ่านดีวีดี บลูเรย์ หรือแม้แต่จะไปสตรีมดูเอง มันก็จะยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป
นั่นก็คือ “เพื่อนร่วมแอร๊ย” ครับ
การ “แอร๊ย” ที่ผมพูดถึงนี้มีทุกระดับมากครับ ตั้งแต่เขินอายเบา ๆ ไปจนถึงครางออกเสียง ตีอกชกท้อง กระทืบเท้า ทุบที่วางมือ แต่ที่เด็ดสุดก็คือการ Standing Ovation ลุกขึ้นยืนปรบมือระหว่างฉายหนังเลย ถ้าคุณเป็นกองอวย.. ไม่ว่าคุณจะอวยคู่ไหน โคงามิxกิโนะ โคงามิxสึเนโมริ หรือแม้แต่ โคกามิx(บอกไม่ได้ บอกไปเดี๋ยวไม่แอร๊ย) ฉบับภาพยนตร์นี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแม้แต่คนเดียวครับ ในโรงนี่เกิดความสามัคคีสมานฉันท์ระหว่างกองกันเลย
เวลาดูเรื่องนี้อยู่ที่บ้านคนเดียว ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นอนิเมะที่สนุกและซีเรียส ถึงแม้ว่า แน่ละ มีตัวละครหล่อ ๆ แบบนี้ต้องมีการจิ้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว แค่ไม่คิดว่าจะได้มาสัมผัสการจิ้นพร้อม ๆ กันแบบเรียลไทม์โดยแฟนเกิร์ล (และแฟนบอย) จำนวนกว่าร้อยชีวิต เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่จะตราตรึงในจิตใจต่อไปครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าทำได้ดีมากคือ ทุกการปรากฏตัวของตัวละครในฉบับภาพยนตร์นี้ ล้วนสามารถเรียกเสียงฮือฮา (และเสียงแอร๊ย) จากคนดูได้แทบทั้งหมด (ยกเว้นคุณหัวเห็ดผู้เหมือนจะเป็นนางเอก ที่ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำโชว์ยังไม่มีใครส่งเสียงซักแอะ) ไม่ว่าจะเป็นบรรดาตัวละครเก่าจากฉบับอนิเมะ, ตัวละครเก่าจากฉบับอนิเมะที่มาในลุคใหม่ อย่างกิโนสะกับผมหางม้าโพนี่เทลที่น่าดึงเล่นนั่น, ตัวละครเก่าที่ม่องเท่งไปแล้วในอนิเมะ หรือตัวละครใหม่อย่าง “นิโคลัส หว่อง” ผู้นำทหารของ SEAUn ซึ่งหล่อบาดตาบาดใจ และยิ่งฮือแตกกันทั้งโรงเมื่อพี่แกอ้าปากพูด เพราะคนให้เสียงพากย์ตัวละครนี้ไม่ใช่ใครแต่เป็น “คามิยัน” คามิยะ ฮิโรชิ นั่นเอง
ไหน ๆ ก็พูดถึงเสียงพากย์ เนื่องจากฉบับภาพยนตร์นี้ไม่ได้อยู่กันแค่ในญี่ปุ่น แต่ออกมาต่างประเทศด้วย ฉะนั้นก็จะมีฉากที่ตัวละครพูดภาษาอังกฤษกัน ซึ่งก็.. แอบตลกนิดนึง อันนี้ฟังโดยไม่ได้มีเรซิสต์มายด์ว่าคนญี่ปุ่นพูดอังกฤษไม่ชัดเลยนะฮะ เป็นความรู้สึกเฉย ๆ ถ้าถามว่ามันทำให้หนังแย่ลงมั้ย ก็ไม่ ส่วนซับไตเติลนั้น ภาษาไทยผมไม่คิดว่ามีอะไรติดขัดครับ แต่คนที่ฟังภาษาญี่ปุ่นออกจะพบจุดที่แปลพลาดไหมนั้นผมไม่ทราบ
องค์ประกอบอื่น ๆ เช่นงานภาพนั้นสวยงามจนไม่มีอะไรให้ติ ไม่มีจุดไหนที่รู้สึกว่าเผา ดนตรีประกอบก็ไม่มีอะไรที่ฟังแล้วติดขัด น่าเสียดายที่ได้ดูรอบเดียวยังไม่พอจะเก็บรายละเอียดครับ เพราะมัวแต่ “แอร๊ย” กับหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่างในภาพยนตร์ คงต้องรอแผ่นจาก DEX ซึ่งจากเมลแจ้งที่นั่ง เข้าใจว่าจะมีวางจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมนี้
หลังการฉายภาพยนตร์จบลง ทาง DEX มีกิจกรรมลุ้นรับของเล่นปืนโดมิเนเตอร์ราคาร่วมหมื่นด้วย โดยแจกกระดาษให้ผู้มาชมภาพยนตร์ปั๊มตัวเลขลงไป 6 หลัก และทีมงานจะสุ่มหยิบตัวเลขขึ้นมา ผมซึ่งไม่ได้อยากได้ขนาดนั้น พอได้เห็นยังเผลอลุ้นตาม และแอบรู้สึกอิจฉาน้องคนที่ได้ไปอย่างเบา ๆ (กะจะแอบดักตีท้ายทอยปล้นมา) หลังจากนั้นก็มีการถ่ายภาพหมู่พร้อมกันที่หน้าสแตนดี้สองพระนาง และคุณหัวเห็ดตัวประกอบ (หืม) โดยหลังจากกิจกรรมนี้แล้ว DEX ก็มีการแจกโปสเตอร์ด้วย แต่ดูเหมือนว่าหลายคนจะไม่รู้และกลับไปก่อน ผมก็เลยเผอิญได้มาด้วยแผ่นนึง (เป็นรูปสังเกตการณ์สึเนโมริ ว้า ชะนี)
DEX Movie Day ครั้งต่อไปที่ใกล้ที่สุดคือ LoveLive! School Idol Movie วันที่ 29-30 สิงหาคมนี้ ในงาน Japan Expo ซึ่งจะเปิดจองบัตรในวันพรุ่งนี้ (15 กรกฎาคม) ซึ่งผมก็จะไปร่วมด้วยอีกแน่นอน เพราะอยากสนับสนุนให้ DEX นำเข้าผลงานดี ๆ แบบนี้มาอีกเรื่อย ๆ ครับ ขอบคุณครับ