คุณเชื่อเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ไหม?
สิ่งมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ต่างเกิดขึ้นมาอย่างเป็นปริศนา ซึ่งที่ญี่ปุ่นเองก็มีเรื่องเล่าสิ่งมหัศจรรย์ที่แฝงอยู่ในโรงเรียนเหมือนกัน โดยปกติแล้วในตอนกลางคืนของโรงเรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะปิดให้บริการ แม้แต่ตัวเด็กนักเรียนเองก็ไม่สามารถเหยียบเข้ามาในโรงเรียนในยามวิกาลได้ ซึ่งเวลาอันเงียบสงัดนี้แหละที่ทำให้เหล่า 7 สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับในโรงเรียน ต่างพากันออกมามีชีวิตจนกลายเป็นตำนานสยองขนพองลุกที่ทุกโรงเรียนต่างต้องเล่าสู่กันฟังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 7 ภาพบีโธเฟน
ปกติแล้วในโรงเรียนญี่ปุ่นแทบทุกโรงเรียนจะมีห้องดนตรีแยกไว้สำหรับวิชาดนตรีโดยเฉพาะ และภายในห้องนอกจากจะมีเครื่องดนตรีมากมายอยู่แล้วยังมีภาพบุคคลสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ศิลป์ด้านดนตรีประดับไว้อยู่ตามมุมห้องด้วย และภาพของบุคคลที่กลายเป็นเรื่องเล่าสุดหลอนของเหล่าเด็กๆ ก็คือ ลุดวิก แวน บีโธเฟน ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะด้านดนตรี คีตกวีหูหนวก ซึ่งปกติตอนกลางวันก็เป็นเพียงภาพธรรมดาที่เด็กบางคนยังเห็นทรงผมของบีโธเฟนเป็นเรื่องตลก แต่พอตกกลางคืนว่ากันว่าใบหน้าบนภาพของบีโธเฟนที่แขวนอยู่บนผนังจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวคิ้วขมวด บ้างก็ว่ามีลูกตาขยับได้ และแสงลึกลับออกมาจากดวงตา เมื่อเรื่องลึกลับนี้แผ่ขยายไปสู่หมู่นักเรียนมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าอยู่ในห้องดนตรีคนเดียวแม้จะเป็นตอนกลางวัน เพราะกลัวว่าดวงตาของบีโธเฟนกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 6 เสียงเปียโนในห้องดนตรี
นอกจากภาพหลอนของอัจฉริยะบีโธเฟนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เหล่าเด็กนักเรียนต้องเย็นวาบเสียวสันหลังทุกครั้งที่เดินผ่านกับ เสียงเปียโน ที่ดังมาจากในห้องดนตรี ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ห้องดนตรีก็ต้องมีเสียงของเปียโนดัง แต่ทว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเมื่อพอเปิดเข้าไปในห้องจริงๆ กลับไม่มีใครบรรเลงอยู่ ยิ่งเดิมทีห้องดนตรีเองก็มีบรรยากาศที่น่าวังเวงอยู่แล้ว พอมีเสียงของเปียโนที่ไม่มีใครเล่นอยู่อีกเล่นเอาเด็กๆ ในโรงเรียนหลอนประสาทกันไปเป็นแถบ และตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างกล่าวว่า เพลงที่ได้ยินมักจะเป็นเพลง For Elise และ Moonligh ซึ่งเป็นเพลงที่บีโธเฟนแต่งเองทั้งหมด จึงไม่อาจทราบได้ว่าคนที่มาเล่นเปียโนนั้นเป็นบีโธเฟนเองหรือไม่ แต่ก็ยังมีบางโรงเรียนเล่ากันว่าเป็นวิญญาณของครูสอนดนตรีที่ตายแล้วไม่ไปไหน แต่สถิตอยู่กับห้องดนตรีและคอยเล่นเปียโนให้เหล่าเด็กนักเรียนของเธอฟัง
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 5 รูปปั้นหินนิโนมิยะ คินทาโร่
ภายในโรงเรียนญี่ปุ่นแทบจะทุกโรงเรียนนั้นจะมีรูปปั้นหิน นิโนมิยะ คินทาโร่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการศึกษาแห่งญี่ปุ่น เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้นฐานะทางบ้านของเขายากจน แต่คินทาโร่เชื่อว่าการศึกษาจะทำให้ชีวิตความอยู่ของครอบครัวและตัวเองดีขึ้น จึงได้ทำงานตรากตรำแบกฟืนไว้ที่หลังพร้อมกับอ่านหนังสือเรียนไปด้วย ซึ่งต่อมาเมื่อคินทาโร่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ชีวิตของเขาก็ประสบความสำเร็จดั่งที่ตั้งใจไว้ และได้ถูกยกย่องเป็นนักการศึกษาถึงขนาดทุกโรงเรียนจะต้องมีรูปปั้นหินของเขาตั้งไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เด็กนักเรียนขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียนและเอาเป็นแบบอย่างไปใช้ในอนาคต
ชีวประวัติของคินทาโร่เป็นที่น่าประทับใจแก่ใครหลายๆ คน แต่สำหรับเด็กในโรงเรียนแล้วอาจจะชวนขนหัวลุกอยู่ไม่น้อย เมื่อรูปปั้นหินคินทาโร่นักการศึกษาแห่งญี่ปุ่นกลับมีชีวิตในตอนกลางคืน เล่ากันว่าเมื่อตกดึกรูปปั้นคินทาโร่จะบิดขี้เกียจเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ และลงมาจากแท่นเดินวิ่งเล่นไปทั่วโรงเรียน อ้างกันว่าสาเหตุที่เขาออกมาเดินเล่นในตอนกลางคืนเป็นเพราะในสมัยที่เขายังมีชีวิตจะต้องทำงานพร้อมกับเรียนไปด้วย ทำให้ไม่มีเวลาได้วิ่งเล่นสนุกสนานใช้ชีวิตแบบเด็กคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกวิ่งเล่นเหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อฟ้าสางพระอาทิตย์ขึ้นรูปปั้นหินคินทาโร่ก็จะกลับมาอยู่ที่แท่นดังเดิม ถึงแม้เรื่องเล่าของเขาจะไม่น่ากลัวมากนัก แต่ถ้าได้เจอจริงๆ ก็อาจทำให้ไม่อยากไปโรงเรียนหลายวันอยู่เหมือนกัน
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 4 หุ่นห้องวิทยาศาสตร์
ภายในห้องวิทยาศาสตร์ของทุกโรงเรียนมักจะมีอุปกรณ์การสอนอยู่อย่างหนึ่งที่ถึงแม้เป็นตอนกลางวันก็ยังรู้สึกไม่กล้ามองไม่กล้าจับต้อง หุ่นกายภาพประจำห้องวิทยาศาสตร์ ที่จำลองภาพอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อของมนุษย์แบบครบทุกส่วน ตกกลางคืนมีผู้พบเห็นเล่าว่าหุ่นที่ว่านี้สามารถเคลื่อนไหวได้ และจะไม่ได้แค่อาศัยอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์เท่านั้น บางทีก็จะพบเห็นออกมาวิ่งทั่วตึกเรียนท่ามกลางความมืดเลยก็มี และถ้ามันพบเห็นมนุษย์เมื่อไรก็จะวิ่งไล่ตามแบบไม่คิดชีวิตด้วยเหตุผลที่ว่า อยากเป็นมนุษย์ จึงไล่เอาชีวิตของคนนั้นมาแทน บ้างก็เล่าว่าเมื่อมองไปที่หน้าอกของหุ่นจำลองจะเห็นว่าหัวใจเต้นตุ้บๆ เหมือนกับมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 3 บันได 13 ขั้น
บันไดในโรงเรียนมักจะมาพร้อมกับเรื่องราวลึกลับต่างๆ เพราะเป็นทางเดินที่ถ้าไม่ใช่ช่วงคนพลุกพล่านก็จะให้ความรู้สึกที่น่าวังเวง ทุกโรงเรียนจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ บันได 13 ขั้น ปกติแล้วโรงเรียนญี่ปุ่นจะมีบันไดต่อชั้นมากสุด 12 ขั้น แต่ในตอนกลางคืนบันไดขั้นที่ 13 ปรากฏขึ้นมาอย่างลึกลับ เล่ากันว่าเคยมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากบันไดขณะกำลังก้าวเดินขึ้น เด็กคนนั้นจึงกลายเป็นวิญญาณร้ายที่สิงสถิตอยู่ในบันไดขั้นที่ 13 และคอยดักจับคนที่เหยียบบันไดขั้นนั้นให้พบกับความตายเหมือนดั่งตัวเอง ซึ่งถ้านับบันไดเวลาในตอนกลางคืนไม่ว่ายังไงก็จะได้ 13 ขั้น และเลข 13 ก็เป็นเลขอาถรรพ์ของหลายประเทศอีกด้วย
แต่นอกจากเรื่องเล่าบันได 13 ขั้นก็ยังมีอีกเรื่องที่ต่างเป็นที่หวาดกลัวของเด็กนักเรียน ห้ามเหยียบบันไดขั้นที่ 4 เด็ดขาด ว่ากันว่าบันไดขั้นที่ 4 จะเป็นขั้นที่นำไปสู่ปรโลก หากเหยียบเมื่อใดจะถูกพาไปโลกของคนตาย และไม่สามารถกลับมายังโลกปกติได้อีก
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 2 เรื่องราวของกระจก
แต่ไหนแต่ไรแล้วที่กระจกนั้นมีบทบาทเป็นเครื่องรางสะท้อนสิ่งชั่วร้ายออกไป ซึ่งหนึ่งในสามสมบัติคู่พระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นก็มีกระจกเป็นส่วนหนึ่ง แต่กลับกันสำหรับบางคนกระจกก็ไม่ได้เป็นเครื่องรางที่คอยใช้ปกป้องเสมอไป แต่กลับเป็นสิ่งน่ากลัวที่ไม่ว่าจะส่องมองในตอนกลางคืนสักกี่ครั้งก็รู้สึกสั่นประสาทจนแทบบ้า จึงเกิดเป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับกระจกนับไม่ถ้วนแม้แต่ในโรงเรียนเองก็มีเด็กนักเรียนหลายคนเจอกับปรากฏการณ์ลึกลับ เช่น ถ้ามองไปที่กระจกห้องน้ำเวลากลางคืนใบหน้าของคุณจะเปลี่ยนไป หรืออาจจะมีวิญญาณปรากฏบนกระจกยืนอยู่ข้างกายคุณ หรือแม้กระทั่งปรากฏใบหน้าสุดท้ายของชีวิตคุณก็มี ด้วยเหตุนี้ทำให้มีเด็กนักเรียนหลายคนไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำคนเดียวแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม
สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับลำดับที่ 1 ฮานาโกะซัง
“ฮานาโกะซังอยู่ไหมคะ?”
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักตำนานผีเด็กน้อยที่สิงสถิตอยู่ในห้องน้ำอย่าง ฮานาโกะซัง เพราะชื่อเสียงเรียงนามของเธอมักจะไปปรากฎอยู่ในเรื่องเล่าต่างๆ อยู่เสมอ จุดเริ่มต้นของฮานาโกะนั้นไม่มีความชัดเจนที่มากพอ เพราะเป็นตำนานเมืองญี่ปุ่นที่เล่าต่อกันมานานมากจนเกิดความคลุมเครือ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณของเด็กสาวที่คอยหลอกหลอนในห้องน้ำโรงเรียนเพื่อหาคนมาเล่นด้วยหรือฆ่าทิ้ง
ตามตำนานเล่ากันว่าฮานาโกะซังเกิดในช่วงสงครามโลกครั้ง 2 เธอเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มักจะโดนกลุ่มเด็กผู้ชายในห้องเรียนกลั่นแกล้งอยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเหล่าเด็กๆ ก็พากันเล่นซ่อนแอบกัน ซึ่งเด็กน้อยฮานาโกะก็เลือกที่จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ ห้องน้ำหญิงชั้น 3 ห้องที่ 3 ในตอนนั้นพวกกลุ่มเด็กผู้ชายก็แอบเข้ามาแกล้งล็อกประตูห้องน้ำของเธอ และตั้งใจว่าจะมาปลดล็อกให้ตอนหลังเลิกเรียน ซึ่งพวกเขาไม่รู้เลยว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เครื่องบินทิ้งระเบิด ในเขตของโรงเรียน หลังจากเครื่องบินได้ทิ้งระเบิดลงจนโรงเรียนทั้งหลังพังพินาศ เด็กน้อยฮานาโกะได้กลายเป็นซากศพที่อยู่กับซากห้องน้ำปรักหักพัง โดยที่สภาพศพของเธอเต็มไปด้วยเลือดทั่วร่างกาย และหลังจากนั้นก็เชื่อกันว่าเธอได้กลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนสิงสถิตอยู่ในห้องน้ำหญิงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตามตำนานกล่าวว่าคนที่เดินไปที่ห้องน้ำหญิงชั้น 3 ห้องที่ 3 ในตอนกลางคืนและ เคาะประตู 3 ครั้ง ก่อนจะถามว่า “ฮานาโกะซังอยู่ไหม? ซึ่งหากเราได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า “ฉันอยู่ที่นี่” แล้วเลือกที่จะเข้าไปข้างในตามเสียงก็จะพบเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผมสั้น สวมเอี๊ยมสีแดงอยู่ข้างในห้องน้ำ บางตำนานก็กล่าวว่าถ้ามาขอคำอธิษฐานกับฮาโกะซังเธอจะดลบันดาลให้ แต่ก็ต้องมีอะไรมาแลกให้เธอเช่นกัน หรือบ้างก็เล่าว่าเธอจะพาคนที่เคาะประตูให้อยู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยตลอดไป และนั่นก็กลายเป็นการเข้าน้ำครั้งสุดท้ายในชีวิตของคนนั้น
สิ่งมหัศจรรย์ลึกลับอื่นๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ในโรงเรียน
นอกจากเรื่องเล่าเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์หลักที่ถูกกล่าวขานไปแทบทุกโรงเรียนแล้ว ยังมีเรื่องเล่าลึกลับอื่นๆ ที่แอบซ่อนอยู่ภายในโรงเรียนอีกมากมาย
- โต๊ะเรียนปริศนา ภายในห้องเรียนจะมีโต๊ะและเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่งที่ไม่มีคนนั่ง บ้างก็ว่าเป็นโต๊ะของเด็กที่เสียชีวิตไปแล้ว
- ลู่ว่ายน้ำที่ 4 วิญญาณที่สิงสถิตอยู่จะดึงเด็กที่ว่ายน้ำลงไปที่ก้นสระ หรือทำให้เป็นตะคริวจนจมน้ำตาย (เลข 4 พ้องเสียงกับคำว่าตายในภาษาญี่ปุ่น)
- ทหารสงคราม โรงเรียนที่สร้างทับที่สงคราม ตกดึกจะมีเหล่าผีทหารออกมาเร่ร่อนด้วยความเคียดแค้น
- หนังสือในห้องสมุด หนังสือปริศนาที่ไม่มีในลิสต์ของห้องสมุด เมื่อหยิบออกมาอ่านแล้วจะพบเจอกับเรื่องน่ากลัวที่ไม่อาจคาดเดาได้
- เสียงลูกบาสในโรงยิม ตกกลางคืนจะได้ยินเสียงลูกบาสเด้งกระทบพื้น ว่ากันว่าเป็นวิญญาณเด็กนักเรียนไร้หัวกำลังซ้อมเล่นบาสอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ทั้ง 7 สิ่งมหัศจรรย์อันลึกลับที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นไม่มีใครทราบได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ก็โด่งดังมากจนถึงขนาดถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมะ มังงะ ภาพยนตร์ รวมถึงฉบับนิยายก็มี เรียกได้ว่าถ้าไปถามคนญี่ปุ่นย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก ถือว่ากลายเป็นตำนานที่โรงเรียนประถมทุกโรงเรียนต้องมีเลยทีเดียว แล้วคุณล่ะ เคยพบเจอสิ่งมหัศจรรย์ลึกลับแบบนี้ที่โรงเรียนบ้างไหม?
อ้างอิง