สิ่งที่ทำให้การท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นคึกคัก ดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้มาเยือนดินแดนปลาดิบแห่งนี้ได้มากมาย เห็นจะหนีไม่พ้นวัฒนธรรมที่หลากหลายและมากไปด้วยเสน่ห์ของประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่ชุดกิโมโนในโอกาสต่างๆ หรือการแข่งขันกีฬาซูโม่ที่หลายคนคงเคยสงสัยว่าการนุ่งผ้าเตี่ยวลักษณะแปลกๆ ของนักกีฬานั้นเรียกว่าอย่างไร? และทำไปทำไมกัน?
อย่ารอช้า วันนี้อนิไทม์จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ ฟุนโดชิ หรือ ผ้าเตี่ยว เครื่องแต่งกายที่ชาวต่างชาติบอกว่าแปลก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วสิ่งนี้คือวัฒนธรรมและเป็นต้นแบบกางเกงชั้นในของปัจจุบันกันค่ะ!
ผ้าเตี่ยว หรือ ฟุนโดชิ
ฟุนโดชิ หรือที่เราเรียกกันว่า ผ้าเตี่ยว คือกางเกงชั้นในแบบดั้งเดิมสำหรับชายญี่ปุ่น ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะเพื่อใช้ปกปิดส่วนลับของเพศชาย แต่ปัจจุบันกลับเป็นที่นิยมในงานเทศกาลมากกว่าจะหยิบยกมาใส่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเวลาที่เราเห็นคนใส่ตามงานเทศกาลแล้ว ดูเผินๆ อาจจะมองไม่ออกถึงความแตกต่างของรูปร่างหน้าตาของเจ้าฟุนโดชิกันสักเท่าไร แต่จริงๆ แล้วสามารถแบ่งออกได้ถึง 4 แบบด้วยกันเลยทีเดียว จะมีแบบไหนบ้างไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ
โรคุชาคุ ฟุนโดชิ
โรคุชาคุ เป็นฟุนโดชิแบบเก่าแก่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในบรรดาทั้งสี่แบบ ซึ่งลักษณะของมันคือการปกปิดแค่ส่วนลับด้านหน้าของเพศชาย ส่วนด้านหลังจะเป็นรูปแบบคล้ายจีสตริงในยุคปัจจุบัน แต่เห็นผ้าน้อยๆ แบบนี้ กลับใช้ผ้าผืนใหญ่ที่มีความกว้างถึงขนาด 34 เซนติเมตร และยาว 2 เมตรในการนุ่งเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีความเลื่องชื่อในด้านวิธีการใส่ที่ยากมากที่สุดอีกด้วย ปัจจุบันไม่นิยมใส่กันมากนัก แต่จะเห็นได้ตามงานเทศกาลต่างๆ มากกว่า
เอชชุ ฟุนโดชิ
เอชชุ ถือว่าเป็นฟุนโดชิที่เกิดมาเพื่อฆ่าแบบโรคุชาคุเลยทีเดียว เพราะฟุนโดชิรูปแบบนี้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สวมใส่ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถปกปิดส่วนลับได้มิดชิดขึ้นอีกด้วย ซึ่งแบบเอชชุได้รับฉายาว่า ชุดชั้นในซามูไร เพราะในสมัยก่อนนั้นเป็นฟุนโดชิที่เหล่าซามูไรนิยมสวมใส่กัน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมมากในหมู่ทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วย ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นจะนิยมใส่ในพื้นที่เขตร้อนชื้นของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเอชชุ ฟุนโดชิให้ความรู้สึกโปร่งสบายเและระบายอากาศเวลาสวมใส่นั่นเอง
มอคโคะ ฟุนโดชิ
มอคโคะ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับกางเกงชั้นในของยุคปัจจุบันมากที่สุด เพราะถูกพัฒนามาจากสองรูปแบบที่กล่าวมาข้างต้นให้ทันสมัยมากกว่าเดิม เพียงแค่สวมแล้วผูกเชือกด้านข้างก็สามารถสวมใส่ได้อย่างง่ายดาย ในปัจจุบันมีหลายคนนิยมนำไปประยุกต์เป็นชุดว่ายน้ำ
ฟุนโดชิสำหรับผู้หญิง
ในเมื่อมีของผู้ชายแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องมีของผู้หญิงด้วย ซึ่งฟุนโดชิรูปแบบนี้จะมีการออกแบบให้น่ารักสวยงามให้เหมาะกับสุภาพสตรี และยังมีการอ้างอีกว่าฟุนโดชิสำหรับคุณผู้หญิงนั้น เมื่อเวลาสวมใส่แล้วจะเป็นผลดีต่อสุขภาพและระบบไหลเวียนอีกด้วย
ฟุนโดชิในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันคนญี่ปุ่นจะไม่ได้ใส่ผ้าเตี่ยวกันในชีวิตประจำวันแล้ว แต่คนญี่ปุ่นก็ยังคงอนุรักษ์การใส่ฟุนโดชิอยู่เรื่อยมาด้วยการจัดตั้ง สมาคมฟุนโดชิ ขึ้นเพื่อให้ผ้าเตี่ยวฟุนโดชิไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา ซึ่งสมาคมนี้จัดตั้งโดยเหล่าสมาชิกที่หลงใหลในการนุ่งผ้าเตี่ยว ทุกคนจะคอยช่วยกันคิดกิจกรรมเพื่อผลักดันให้ฟุนโดชิเป็นที่นิยมอยู่เสมอ อย่างเช่นกิจกรรม การนุ่งฟุนโดชิหลากสีสันออกมาเก็บขยะในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายนี้แล้วยังเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ทำให้ต่อมาได้มีการจัดตั้งวัน ฟุนโดชิแห่งปี ขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งจะตรงกับวันวาเลนไทน์ของทุกปี
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ส่งเสริมให้คนหันมาสวมใส่ฟุนโดชิมากขึ้นก็คือ การแจกรางวัลสำหรับผู้ที่นุ่งฟุนโดชิบ่อยที่สุด ซึ่งรางวัลไม่ได้จำกัดแค่คนญี่ปุ่น แต่ถ้ามีความรักในการสวมใส่ฟุนโดชิ ถึงจะเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถรับรางวัลไปครองได้ค่ะ
นอกจากจะใส่ในกิจกรรมที่ทางสมาคมจัดแล้ว คนญี่ปุ่นก็ยังนิยมใส่ฟุนโดชิใน การแข่งขันกีฬาซูโม่ หรือในงานเทศกาลต่างๆ อย่าง เทศกาลฮาดากะ มัตสึริ ที่คนต่างชาติเรียกกันว่า เทศกาลเปลื้องผ้า เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่แปลกระดับโลกเลยก็ว่าได้ เพราะจะมีกลุ่มชายใส่ฟุนโดชิเดินท้าลมหนาวกันตามศาลเจ้าในช่วงฤดูหนาว ความพิเศษของเทศกาลนี้อยู่ตรงที่จะให้เหล่าผู้ที่มาเข้าร่วมเทศกาลได้ค้นหาชายเปลือยกายล่อนจ้อนที่มีอยู่หนึ่งเดียวในหมู่ชายหนุ่มนุ่งฟุนโดชิ คนที่เจอชายเปลื้องผ้าและได้สัมผัสตัวเขาก็จะได้รับโชคลาภและความสุขตลอดทั้งปี จึงเกิดเป็นเทศกาลตามล่าหาความสุขกันอย่างครื้นเครง
ถือได้ว่าฟุนโดชิเป็นต้นแบบนวัตกรรมของกางเกงชั้นในที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จะไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมประจำชาติ โดยการสวมใส่ ฟุนโดชิ กันอย่างมากมาย เรียกได้ว่าแม้กาลเวลาจะผ่านไปสักเท่าไร ถ้าไม่ได้คนกลุ่มนี้แล้ววัฒนธรรมอันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะอาจเลือนหายไปตามกาลเวลาก็ได้ รวมถึงถ้าฟุนโดชิไม่ได้ถือกำเนิดก็คงไม่มีต้นแบบกางเกงชั้นในให้เราได้ใส่กันในยุคปัจจุบันก็เป็นได้ค่ะ
ที่มา