ณ ชั้น 16 ของอาคารยูบีซี II ใจกลางมหานครกรุงเทพ ห้องพักนักเขียนของบริษัทอุ๊คบีคอมิกส์ กำลังอบอวลด้วยบรรยากาศอันดุดันทะลุจุดเดือด เพราะเป็นครั้งแรกของอนิไทม์ที่สัมภาษณ์นักเขียนพร้อมกันสองคน คำถามต่อคำถาม คำตอบต่อคำตอบ ในฐานะที่เชล ‘Chellin‘ เจ้าของผลงาน ‘พญานาก’ หรือนากเจรี๊ยะสุดแฟบบูลัสในอุ๊คบีคอมิกส์ และ ‘Pop Up’ ในไลน์เว็บตูน กับราชาแห่งการ์ตูนเสื่อม ท็อป ‘TopGorezilla‘ หรือที่ตอนนี้ถูกเรียกขานอย่างหนาหูว่า ‘ท็อป เซารอน’ อยู่บนสังเวียนการ์ตูนตลกโปกฮาเดียวกัน ทุกคำตอบคือศักดิ์ศรีที่ยอมกันไม่ได้!
เรื่องราวการวาดการ์ตูนของทั้งสองมีความเป็นมาอย่างไร
เชล: ของเชลนี่เริ่มวาดรูปตั้งแต่วัยประถมแล้วค่ะ ด้วยความที่ห้องเรียนเป็นห้องเล็กๆ มีกันประมาณ 20 คน ก็เลยชอบเขียนการ์ตูนเกี่ยวกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนแล้วส่งต่อกันอ่าน เพื่อนๆ ก็ชอบ เลยคิดตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นนักเขียนการ์ตูน พอขึ้นม.1 ก็ย้ายไปเรียนเมืองนอก เราเกิดคัลเจอร์ช็อกขึ้นมา ก็เลยหันเลยหันหน้าเข้าหาสังคมออนไลน์ เริ่มเขียนการ์ตูนลงพันทิป และมีคนรู้จักนับแต่นั้นมา
ท็อป: ก็คล้ายๆ กับเชลนั่นแหละครับ แต่ก่อนเวลาดูหนังหรือมีเรื่องคุยกับเพื่อนก็จะเอามาวาดเป็นการ์ตูนแล้วส่งต่อกันไปส่งต่อกันมา แล้วรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ก็เลยเขียนอย่างจริงจังเป็นต้นมา
ก่อนวาดการ์ตูนเป็นอาชีพแบบทุกวันนี้ ทั้งสองคนเรียนทางด้านไหนมา
เชล: ของเชลคือคุณแม่ก็ไม่ให้เรียนทางสายศิลปะ เพราะเขารู้ว่าเราอยากมาทางนี้อยู่แล้ว เราฝึกเองได้ เขาก็คิดว่าถ้าเราไปเรียนทางนี้แล้วเกิดผลงานของเรามันไม่ดีพอ เราจะไม่มีความรู้ไว้ทำอาชีพอื่นเป็นแบ็คอัพได้ ก็เลยเรียนด้านอัญมณี เพราะที่บ้านทำกิจการด้านนี้อยู่แล้ว ถ้าเกิดการ์ตูนเราไปไม่รอด เราก็ยังมีแผนสำรองไว้แบ็คอัพชีวิต
แสดงว่าทางบ้านก็ไม่ได้คัดค้านการเป็นนักเขียนการ์ตูน
เชล: ตอนแรกเขาก็เป็นห่วงนะคะว่ามันจะได้เงินพอรึเปล่า เพราะยุคนั้นบอกตามตรงเลยว่าอาชีพนักเขียนการ์ตูนไม่ได้โด่งดังหรือรายได้ดี เขาก็เลยเป็นห่วง
ท็อป: ของผมที่บ้านก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไร อยากทำอะไรก็ทำ นึกภาพว่าตอนสมัยนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเลย ไม่มีช่องทางศึกษาความรู้เกี่ยวกับอาชีพนี้ ตอนจะเข้าปวช. เราก็ถามที่บ้านว่าอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนจะเรียนทางไหนดี แทบจะทุกคนบอกว่าเรียนสถาปัตย์สิ พอเราถามต่อว่าแล้วมันเกี่ยวกับการ์ตูนยังไง เขาก็บอกไม่รู้ เขาบอกมา พอเข้าเรียนก็จำยอมเรียนไป 3 ปี (หัวเราะ) แต่พอเข้ามหาลัยก็ได้เรียนวิชาศิลปะบ้าง แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ กลายเป็นว่าเรียนอย่างอื่นให้พอจบแทน (หัวเราะ)
การเรียนสถาปัตย์ช่วยอะไรในการเขียนการ์ตูนบ้างไหม
ท็อป: บางส่วนมันช่วยได้ มันอยู่ที่ว่าเราจะเอาไปปรับ…มันมีภาษาอังกฤษเท่ๆ ไหม
เอิ่ม…อะแดปต์มั้งครับ
ท็อป: ใช่ๆ มันอยู่ที่ว่าเราจะเอาไปอะแบตป์.. อะแดปต์ได้อย่างไร อย่างเช่น การวาดฉาก การกะระยะ มุมมอง หรือพี่บางคนที่ผมรู้จักก็ใช้ถึงระดับการคิด ผมบอกได้เลยว่ามันได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะอะแดปต์อย่างไร
นามปากกาของทั้งสองท่านมีที่มาอย่างไร
เชล: มาจากชื่อเล่นของเชลเลยค่ะ เชลลิน มันเป็นชื่อเล่นที่ไม่ค่อยโหล เราก็เลยคิดว่าถ้ามันไม่โหลแล้วทำไมเราไม่ใช้ชื่อนี้เป็นนามปากกาของเราไปเลยล่ะ
ท็อป: สมัยก่อนตอนเพิ่งเล่นเน็ตแรกๆ มันต้องมีชื่อของตัวเองใช่มะ ตอนนั้นเราชอบดูก็อดซิลลา ก็เอาชื่อก็อดซิลลานี้มาใช้ แต่ไปๆ มาๆ มันโหล ใช้ล็อกอินไม่ได้เพราะมีคนอื่นใช้ชื่อนี้แล้ว ก็เปลี่ยนไปใช้ชื่อท็อปจังบ้าง ก็อดจังบ้าง อะแดปต์เป็นผู้หญิงไป หลังจากนั้นพอเล่นบอร์ดพ็อกเก็ต เราก็อยากให้คนรู้จักชื่อเราบ้าง เลยใช้ชื่อท็อปก็อดซิลลา จากนั้นก็เห็นคนอื่นใช้อีกหลายชื่อตามมา ท็อปกาเมลา ท็อปการูดา ตามมาเรื่อยๆ เราก็ไม่ได้อะไร เพราะเรายังไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จนกระทั่งเกิดอยากได้ชื่อเฉพาะของตัวเอง ตอนนั้นชอบฟังเพลงเมทัล อยากใช้ชื่อจากเพลงที่เราชอบ แต่อีกใจก็ยังอยากใช้ชื่อเดิมด้วย ก็คิดหนักว่าเราจะอะแดปต์ยังไงดี ..ผมชอบคำนี้จริงๆ นะเนี่ย.. ก็เลยเอาคำว่า Gore ที่เป็นเพลงเมทัลประเภทหนึ่งมาใส่ กลายเป็น TopGorezilla แต่จากแนวที่เขียนแล้วเด่นคนเลยเรียก “ท็อป เซารอน” ซะงั้น
เล่าเรื่องการทำอาชีพนักเขียนการ์ตูนทุกวันนี้ให้ฟังหน่อย
เชล: ตอนนี้ก็มีเขียนเรื่อง “พญานาก เดอะซีรีส์” ลงอุ๊คบีคอมิกส์ อันนี้เขียนตามใจเรา เพราะอยากให้มันเป็นมาสคอตส่วนตัวเราที่สามารถนำไปต่อยอดได้หลายๆ อย่าง อีกเรื่องชื่อ “Pop-up ตึ๊กตั๊ก!! รักทักมา” ซึ่งทางไลน์เว็บตูนติดต่อมาให้ทำ เป็นการ์ตูนรายสัปดาห์ แล้วก็อาจจะรับงานนอกบ้าง แต่ก็อยากจะโฟกัสที่งานหลักของเรา
ท็อป: ก่อนจะมาเขียนการ์ตูนก็เคยเป็นอาจารย์ฝึกสอนบ้าง เป็นพนักงานธนาคารด้วย..
เชล: ต้องเล่าอาชีพอื่นก่อนมาเขียนการ์ตูนด้วยเหรอ
ท็อป: ก็อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ จะได้เห็นว่า เนี่ย ดูสิ เป็นพนักงานธนาคารยังมาทำอย่างนี้ได้เลย ก่อนหน้านั้นเริ่มเขียนการ์ตูนเป็นจริงเป็นจังจากการไปเสนอการ์ตูนที่นิตยสารจิโร่ของเนชั่น เราได้ประสบการณ์จากที่นั่นเยอะมาก ตอนนั้นการ์ตูนเรื่องแรกชื่อ “MIC” เป็นกามเทพเสื่อมๆ แต่ไม่มาก ยังมากไม่ได้ (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็กลับบ้านเพื่อมาเรียนต่อโท แต่เรียนไม่จบเพราะมันมหาวิทยาลัยมันปิดตัวลงไปตอนกำลังทำวิทยานิพนธ์ ที่บ้านก็บอกว่ามาทำงานธนาคารให้หน่อยละกัน แต่เราไม่ชอบก็เลยขอออกมาเป็นฟรีแลนซ์ เขียนการ์ตูนให้กับค่ายแรกก็โดนโกงไป 40,000 บาท ดีว่าเพื่อนจะเปิดสตูดิโอสอนวาดรูป ก็เลยขึ้นมากรุงเทพฯ ด้วยกัน ตอนนั้นเอาเงินเก็บไปซื้อโน้ตบุ๊ก ซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างแล้วมาเลย มาแบบไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรเลย ไปขออยู่กับเขาบ้าง คนโน้นคนนี้บ้าง แล้วก็สอนกับเขาที่นั่น ระหว่างนั้นเราก็เริ่มเห็นช่องทางมากขึ้น เริ่มรับงานจากดีเวียนต์อาร์ต รับงานนอกนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เริ่มสร้างชื่อในฐานะนักเขียนโดจิน แล้วก็ลองเขียนหลายๆ แนว ทำให้เราได้ประสบการณ์มากขึ้น รู้มากขึ้นว่าควรเขียนอะไร หลังๆ มาก็ลองใช้ชื่อเสียงอะแดปต์กับการทำงานของเรา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนมีอุ๊คบีเข้ามา ก็กลายมาเป็นท็อปในปัจจุบัน
คุณเชลมีอะไรอยากเล่าเพิ่มเติมอีกไหม
เชล: ก่อนที่จะมาทำฟรีแลนซ์เต็มที่ เคยทำงานขายเครื่องเพชรกับที่บ้านมาก่อน ทำเซ็ตติ้งเองเลย ตอนนั้นก็รับงานคอมมิชชันผ่านทางเว็บดีเวียนต์อาร์ตไปด้วย เป็นงานประเภทซีจี อิลลัส แต่เราอยากทำสตอรี่มากกว่า เพราะเป็นคนชอบเขียนอะไรเป็นเรื่องราว เลยมาเขียนการ์ตูนลงพันทิปแล้วก็มีคนติดตาม ทำให้เราอยากเขียนต่อ เราก็เริ่มสองจิตสองใจ คือถ้าเราทำงานคอมมิชชันอย่างเดียวเงินก็ไม่พอ ก็ต้องทำด้านจิวเวลรีไปด้วย จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วที่กลับไทยเราก็ตัดสินใจจะทำการ์ตูนเต็มที่เลย
ทุกวันนี้ถ้าเสิร์ชชื่อของคุณเชลในกูเกิ้ล ก็จะยังเจอการ์ตูนเรื่อง “มุมกล้อง” ในพันทิป เป็นผลงานที่คนพูดและแชร์ต่อกันถล่มทลาย อะไรดลใจให้วาดการ์ตูนเรื่องนี้ออกมา
เชล: ส่วนตัวคิดว่าคนเราเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นง่ายไปโดยที่ไม่มองเบื้องลึก บางคนชอบเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานตั้งชีวิตคนอื่นว่า ฉันเจออย่างนี้มาฉันยังทำอย่างนี้เลย ทำไมเธอไม่ทำอย่างนั้น โดยที่ไม่มองว่าพื้นหลังของคนแต่ละคนไม่ได้เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน บางคนเริ่มจากติดลบ บางคนเกิดมาก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว แบ็คกราวนด์ของคนที่มันต่างกันไปมีผลกระทบต่อการตัดสินใจกับการกระทำของแต่ละคนด้วย ฉะนั้นเราไม่ควรเอามุมที่เราเห็นเล็กๆ มุมหนึ่งไปตัดสินตัวตนของเขา ก็เลยวาดออกมาเป็นการ์ตูนเรื่องนี้
ลายเส้นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีที่มาจากไหน ใช่ลายเส้นเดิมที่ใช้แต่แรกหรือเปล่า
เชล: แต่ก่อนชอบอ่านโคนันค่ะ ก็จะวาดลายเส้นเหมือนโคนันมาก แล้วค่อยๆ พัฒนาลายเส้นเป็นของตัวเอง ถ้าวาดเป็นซีจีก็จะชอบแนวเรียลลิซึม แต่งานคอมิกส์ถ้าจะวาดสมจริงก็จะใช้เวลานานเกินไป เลยลดรายละเอียดและปรับเป็นลายเส้นที่ใช้อยู่ทุกวันนี้
ท็อป: ของผมมาจาก CAPCOM ค่ายนี้เลย พวกร็อคแมน สตรีทไฟเตอร์ วอร์ซาร์ด แวมไพร์ฮันเตอร์ คือเราชอบลายเส้นของเขามาก ก็เลยลอกๆ เขามาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเหมือนจะเริ่มเล่นร็อคแมนกับ Captain Commando วาดเล่นทั้งวันทั้งคืน กระดาษเอสี่หมดไปเป็นปึกๆ จนแม่ถามว่ากระดาษหายไปไหน หลังจากนั้นลายเส้นก็เปลี่ยนไปอีกหลายช่วงตามสิ่งที่เราติดตาม มีช่วงนึงติดลายเส้นแบบเฮลซิ่ง งานก็จะโหดๆ หรืออย่างนักเขียนบางท่านที่ตามในเว็บมืด แต่การ์ตูนแนวเสื่อมจ๋า ลายเส้นโคตรเท่ ก็ได้อิทธิพลมาเยอะมาก ปัจจุบันงานผมยังมีกลิ่นอายเขาอยู่เลย และตอนเรียนปวช.ก็เลิกเขียนไปพักนึงเพราะเรียนหนัก ระหว่างนั้นได้เห็นภาพบนปกแผ่นเกมเพลย์ 2 เกมนึงชื่อ GunGrave ของอาจารย์ยาสึฮิโระ ไนโทว เราก็เฮ้ย มีลายเส้นแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ ก็เลยกลับมาวาดตาม จากนั้นก็พัฒนามาเรื่อยๆ กลายเป็นลายเส้นที่ใช้อยู่ตอนนี้ ถ้าตอนนั้นไม่ได้เล่นเกมก็อาจจะไม่ได้กลับมาวาดการ์ตูนเลยก็ได้
คิดว่าการทำงานเป็นนักเขียนการ์ตูนเต็มเวลานี่มันยากไหม
เชล: จริงๆ ทุกอาชีพถ้าเรามีความรักและมีวินัยกับตัวเองมันไม่มีอะไรยากหรอกค่ะ ทุกอาชีพมันต้องเจอปัญหา แต่อยู่ที่ว่าเราพร้อมจะสู้กับปัญหานั้นมากน้อยแค่ไหน แล้วปัญหานั้นจะทำให้เราท้อหรือเปล่า ต่อให้มันเป็นปัญหาที่หนักมากแต่ถ้าเราไม่ท้อมันก็ไม่ยาก แต่ถ้าปัญหานิดเดียวแล้วเราไม่ไหวเราไม่สู้ มันก็รู้สึกเฟลง่าย อยู่ที่ความเข้มแข็งของตัวเองด้วย
ท็อป: สำหรับผมไม่ยาก เพราะเราชอบมากขนาดที่ว่าอยู่กับมันทั้งวันแล้วเรายังมีสมาธิกับมันได้มากที่สุด ทำให้เรามีความสุขมากที่สุด เพราะมันคือสิ่งที่อยู่ในหัวเรา เราอยากจะใส่อะไรลงไปเราก็ใส่ บางครั้งมันก็เป็นการระบายหลายๆ อย่างลงไปในงานด้วย อาจจะมีคนรับไม่ได้ในสิ่งที่เราเขียนแต่เราก็อยากจะเขียน ซึ่งมันก็ทำให้รู้ว่ามีคนสนใจในสิ่งที่เราคิดและเขียนมากแค่ไหน การทำงานกับสิ่งที่ชอบมันไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ต่อให้เหนื่อยหรือมีปัญหาบ้างแต่มันก็เป็นสิ่งที่เรารักอยู่ดี
คิดว่าอุปสรรคหรือปัญหาหลักๆ ของอาชีพนักเขียนการ์ตูนที่เจอบ่อยๆ คืออะไร
เชล: ก็คงจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์น่ะค่ะ เพราะว่าหลายคนไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ปกติงานเขียนการ์ตูนที่ทำบนเว็บก็ให้อ่านฟรีอยู่แล้ว คนอ่านที่อยากสนับสนุนผลงานของเราก็ไม่ต้องออกเงินสักบาท แล้วการที่เขาเอาผลงานของเราไปละเมิดลิขสิทธิ์ ก๊อปงานเราไปทำเสื้อขายอะไรแบบนี้ มันก็เป็นการบั่นทอนจิตใจ จริงๆ แล้วอุปสรรคของนักเขียนคือเรื่องจิตใจมากกว่า เหนื่อยก็เหนื่อยได้ แต่ที่เสียความรู้สึกนี่มันเสียแล้วเสียเลย
ท็อป: ตอบแบบนี้มาผมกดดันเลย ผมจะอะแดปต์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ยังไงดี (หัวเราะ)
แปลว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ในมุมมองของคุณเชลแล้วมันไม่ได้มีผลกระทบแค่ในแง่รายได้ แต่ในแง่จิตใจมันสำคัญมากจริงๆ
เชล: ใช่ เพราะว่าเวลาเราเขียน เราเขียนด้วยใจ อยากให้คนอ่านหรือติดตามแล้วมีความสุขกับผลงานของเรา การที่เขาเอาไปต่อยอดเป็นรายได้ส่วนตัวเขามันค่อนข้างจะหักหลังกัน มันเสียความรู้สึกตรงนี้
ท็อป: ของผมก็เจอปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ครับ ตอนนั้นกลายเป็นดราม่าใหญ่ลงเพจดังๆ เลย เราไปทวงก็โดนกวนตีนคืน หรือโดนด่ากลับยาวเป็นหางว่าว โดนรีพอร์ตเฟซบุ๊กด้วย มันเป็นเรื่องของความรู้สึกล้วนๆ แม้ว่าทุกคนจะช่วยแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ก็เลยต้องอยู่เฉยๆ บางครั้งเราต้องเดินออกห่างจากบางสิ่ง เพื่อเข้าใจบางอย่าง เราออกมาจากตรงนั้นเพื่อเข้าใจว่าสังคมมันเป็นอย่างนี้แหละ มันยังต้องเรียนรู้อีกมาก
ทราบมาว่า สำหรับคุณท็อปนี่ ปัญหาด้านสุขภาพก็ทำให้ถึงกับต้องพักการเขียนการ์ตูนมาแล้ว
ท็อป: ใช่ ผมเป็นคนป่วยง่ายตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เป็นภูมิแพ้แต่เด็ก แต่มันไม่แรงเท่าตอนที่มาอยู่กรุงเทพฯ เมื่อคนเราป่วย เราก็จะไม่สบาย..
ครับ..
ท็อป: และจะทำงานไม่ได้ (หัวเราะ) ทำให้ทุกสิ่งที่วางแผนไปพังทลายต่อหน้าต่อตาเรา
เล่าเรื่องอาการป่วยเมื่อต้นปีให้ฟังหน่อยครับ
ท็อป: ผมเป็นภูมิแพ้เพราะย้ายบ้านตอนปีใหม่ คือบ้านหลังใหม่ผมฝุ่นเยอะมาก จนเป็นภูมิแพ้หนักและมีเชื้อแบคทีเรียเข้าตา ต้องเข้าโรงพยาบาลเลย กว่าจะรักษาหาย เพราะตาจำเป็นต่อนักเขียนการ์ตูนมากๆ ตอนนั้นจะเขียนก็เขียนไม่ได้ จะมองจอยังมองไม่ได้เลย น้ำตาไหลขี้ตาแข็งจนตาเปิดไม่ขึ้นบ้าง ทรมานสุดๆ เลยครับ แต่ตอนนี้ก็หายดีแล้ว ปกติผมเองก็ป่วยบ่อยอยู่แล้วด้วย หลังๆ มานี้เลยเริ่มออกกำลังกายบ้าง ดีกว่านั่งแช่ทั้งวัน
เชล: เรื่องสุขภาพจิตใจก็เหมือนกันค่ะ เพราะว่านักเขียนการ์ตูนบางทีเจออิมแพ็กต์มาเยอะๆ ก็จะวาดไม่ออก
ท็อป: อกหักทั้งปี กินข้าวฟรีทุกวัน
เชล: (หัวเราะ) ไม่ใช่ส่วนตัวนะคะ เป็นเรื่องของพวกรุ่นน้องมากกว่า หลายคนเจอปัญหาดราม่านิดนึงก็หมดแรงใจจะเขียนแล้ว จริงๆ ทุกคนไม่ว่าจะสายอาชีพไหน ยังไงก็ต้องเจอเรื่องพวกนี้ ต่อให้เราทำดีที่สุดแค่ไหน ก็จะมีคนที่ไม่พอใจ หรือคนที่จ้องจะทำร้ายเราอยู่ดี ฉะนั้นถ้าเราปล่อยให้คำที่มาทำร้ายเราเข้ามาถึงตัวเรา ก็เท่ากับว่าเขาทำร้ายเราได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหัดรับฟังความเห็นของคนอื่นไว้ จะเอามาคิดหรือจะวางไว้ก็ได้ แต่อย่าให้มันมาเป็นนายเราหรือมาควบคุมเรา
ท็อป: เพราะชีวิตแค่โดนทำร้าย
เชล: แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย
พูดพร้อมกัน: แค่วันนี้หัวใจสลาย..
…
เคยมีอุปสรรคในชีวิตที่ทำให้ท้อจนเลิกเขียนไหม
ท็อป: มีครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ์ตูนโป๊ คือตั้งแต่สมัยมัธยมต้นจนถึงปวช. เพื่อนจะมายุให้ผมวาดการ์ตูนโป๊ให้ตลอด ทำให้ผมไม่ชอบ ตอนนั้นวาดผู้หญิงไม่เป็นเลย มันทำให้ผมแอนตี้มาก
หืม………….. (ทำหน้าไม่เชื่อ)
ท็อป: จริ๊ง สมัยนั้นผมชอบวาดการ์ตูนแอ็คชัน ไม่รู้จักการ์ตูนโป๊เลยนะ แต่เพื่อนๆ พอรู้ว่าผมวาดการ์ตูนเป็น ก็มาขอให้เขียนรูปโป๊เต็มสมุดหนังสือ กระทั่งบนฝาผนังห้องเลยนะ เราเป็นคนวาดเราก็เฉยๆ ไม่เคยวาดแต่ก็พอวาดได้ แต่ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าพวกคนที่อ่านนี่มันจะหื่นกระหายอะไรขนาดนั้น (หัวเราะ) ช่วงนั้นรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้เอาแต่วาดตามใจคนอื่น แถมคนก็มองว่าเราเป็นพวกหื่น วาดแต่การ์ตูนโป๊ตามไปด้วย รู้สึกแย่ที่โดนขอให้วาดแล้วกลายเป็นแบบนี้ แต่จริงๆ ก็ทำตัวเองด้วย ยอมวาดเพราะอยากให้คนชมไง แต่พอโดนมองแบบนั้นก็เลยเลิกวาดไปเลย ดูเป็นเป็นปัญหาไร้สาระมาก แต่สมัยนั้นมันส่งผลด้านจิตใจจริงๆ ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องโดนโกง สมัยนั้นมันยังไม่มีอินเทอร์เน็ต เราก็เลยไม่รู้ว่าสำนักพิมพ์นี่เขาทำงานอะไรกันยังไง ก็เลยโดนโกงไป ท้อจนเกือบไม่อยากทำต่อเหมือนกัน
แล้วคุณเชลมีประสบการณ์ดราม่าจนอยากหักปากกาไหม
เชล: ปีที่แล้วมีอิมแพ็กต์ทางจิตใจที่รุนแรงจนทำให้วาดการ์ตูนต่อไม่ได้ คือคุณพ่อป่วยเป็นมะเร็ง และต้องย้ายไปอยู่ดูแลคุณพ่อที่ฟินแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะเครียด เราไปอยู่คนเดียว เพื่อนก็ไม่มี ไม่รู้จักใครเลย มันกดดันมาก ทำให้เราไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่มีจินตนาการ ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เพราะหัวเราจะไปวนกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า จนกระทั่งคุณพ่อเสียชีวิต มันทำให้รู้สึกว่า มันคือชีวิตอะ ทุกคนต้องเจอปัญหา ไม่ช้าก็เร็ว เราแค่เจอเร็วกว่าคนอื่นแล้วยังไง เราก็ต้องรีบลุกขึ้นมา มัวแต่นั่งอยู่เฉยๆ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ท็อป: ผมมีอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมเรียนรู้จากการท้อ ผมเองเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองมาก เพิ่งมาเริ่มเขียนการ์ตูนจริงๆ จังๆ แต่ไม่รู้ต้องเริ่มจากอะไร แล้วตอนนั้นผมมีโอกาสมาเสนอผลงานที่นิตยสารจิโร่ของเนชั่น สมัยนั้นการ์ตูนบาคุมัง (Bakuman) ซึ่งเป็นการ์ตูนที่เกี่ยวกับนักเขียนการ์ตูนดังมาก คนที่อ่านก็ได้รู้เรื่องการ์ตูนบางส่วน ก็มีบางคนที่ออกมาแนะนำนักเขียนนู่นนี่ ผมเองก็ยังไม่มีประสบการณ์อะไรจึงลองฟังๆ ดู ก็เจอพวกที่ชอบแนะนำว่าระบบมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็มาชี้ว่าเราควรจะทำอะไร คุณทำแบบนี้สิ แบบนั้นสิ ตอนนั้นผมโดนว่า ว่าผมไม่พัฒนาเลย วาดแต่แบบเดิมๆ โดนด่าจนท้อ
แต่พอมาพิจารณาดู มันเป็นอินเทอร์เน็ตที่ใครๆ ก็สามารถโพสต์ลงไปได้ จะพูดอะไรก็ได้ คนที่ติบางคนไม่แม้แต่จะอ่านงานเราด้วยซ้ำ ผมก็เลยหยุดฟัง ช่างมัน ฟังแต่บ.ก. พอได้เจอการทำงานของจริงมันกลายเป็นว่าที่เราเคยฟังเขามามันผิดหมดเลย ก่อนหน้านี้ผมโดนติโดนด่าไปเรื่อยจากพวกคนที่เราฟังแล้วรู้ว่าเขาก็แค่พูดไปเรื่อย ซึ่งบางอย่างพอเราเชื่อเขาแล้วเราดรอปไปเยอะเลย แต่พอถูกบ.ก. ติผลงานเราแบบจริงๆ จังๆ มันโดนจุดที่ควรแก้ เรารู้ว่าเราควรพัฒนาไปทางไหน เขาสร้างพลังให้เรา ทำให้เรามีไฟอยากจะพัฒนาผลงานให้ดีขึ้นซะอย่างนั้น เป็นการติเหมือนกันแต่ความรู้สึกต่างกันคนละขั้ว ทำให้เราได้รู้ว่าเราต้องฝึกการเอาความคิดคนอื่นมาไตร่ตรองว่าเราควรเชื่อเขาหรือเปล่า เพราะจิโร่นี่แหละทำให้ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของเขียนการ์ตูนอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก คำวิจารณ์เรารับฟังได้แต่ก็ต้องพิจารณาด้วย อะไรที่เป็นประโยชน์ก็เอามาอะแดปต์ใช้กับตัวเราเอง อะไรที่ไร้สาระ…
ก็ทิ้งมันไป?
ท็อป: ก็เอามันมาเขียนมุกพี่กอ..
มหากาพย์ของการเชือดเฉือนฝีปากของทั้งสองคนยังไม่จบพรุ่งนี้ มันยาวมากจริงๆ ติดตามตอนต่อไป >>> ที่นี่เลย <<<