ในปีนี้นอกจากจะเป็นปีทองของภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่เข้าฉายในไทยแทบจะทุกเดือนแล้ว คราวนี้ถึงตาอนิเมชันบ้างที่ก็เด่นดังไม่แพ้ภาพยนตร์คนแสดง โดยได้ทาง M Pictures เป็นผู้นำเข้าฉายในบ้านเราอีกเช่นเคย กับ Mirai no Mirai หรือ มิไร มหัศจรรย์วันสองวัย ผลงานของผู้กำกับโฮโซดะ มาโมรุ เปิดตัวบ๊อกออฟฟิสญี่ปุ่นที่อันดับ 2 ภาพยนตร์อนิเมชันฟีลกู้ดสบายๆ อบอุ่นหัวใจถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องและครอบครัว ที่เป็นปกติของคนพี่ที่มักจะเข้าใจว่า พ่อแม่รักน้องมากกว่า แต่แท้จริงแล้ว มีอะไรที่ซ่อนและแฝงมากกว่านั้น แถมยังสอนอะไรหลายๆ อย่างให้แก่เด็กที่ได้ดูเรื่องนี้ด้วย
เรื่องราวของ คุนจัง บ้านน้อยหลังหนึ่งซึ่งมีต้นไม้เล็กๆ อยู่ในสวนกลางบ้าน วันหนึ่ง น้องสาวตัวน้อยก็ได้ถือกำเนิดขึ้นต่อหน้าเด็กชายขี้อ้อน วัย 4 ขวบอย่างคุนจัง ในวันแรกที่คุนจังได้เจอน้องเขาตื่นเต้น และดีใจมากที่มีน้องสาวตัวน้อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่หลังจากนั้นไม่นานคุนจังกลับรู้สึกว่าน้องสาวกำลังแย่งชิงความรักจากพ่อแม่ จากเดิมที่เคยให้ความสนใจกับเขาเป็นอันดับแรกๆ ก็กลายเป็นรอง มิไรจัง น้องสาวของเขาตลอด
และในตอนนั้นเองคุนจังก็ได้พบกับมิไรจังที่มาจากอนาคต เด็กชายจึงได้เริ่มต้นผจญภัยไปในห้วงกาลเวลาทั้งอดีต และอนาคตโดยมีมิไรจังคอยชี้นำ ทำให้คุนจังได้เจอเรื่องราวน่าเหลือเชื่อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชายปริศนาที่อ้างว่าตัวเองเคยเป็นเจ้าชาย ได้พบกับคุณแม่สมัยยังเด็ก คุนจังได้ผ่านการพบพานมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นคุนจังก็ยังไม่ชอบน้องสาวของตนอยู่ดี
การ์ตูนเกี่ยวกับเด็กแต่เหมาะกับผู้ใหญ่
แม้เรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับเด็ก แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นภาพยตร์ที่ผู้ใหญ่ควรมาดู โดยเฉพาะคนที่คิดจะมีลูก หรือคนที่มีลูกเล็ก เพราะเรื่องนี้ได้จำลองภาพการใช้ชีวิตคู่ และสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอหากตัดสินใจจะขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้น แม้ว่าเรื่องนี้จะค่อนข้างแฟนตาซี แต่ก็ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของเด็กตัวเล็ก กับพ่อแม่ที่กำลังมีลูกออกมาได้ดีและสมจริงมากค่ะ
การดำเนินเรื่องมองว่าค่อนข้างคล้ายกับละครซิตคอมคือ มีมิชชันขึ้นมา 1 เรื่องให้ตัวละครได้เคลียร์ เมื่อเคลียร์จบก็มีมิชชันใหม่เพิ่มขึ้นมา ทำให้เส้นเรื่องมีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา ต่างจากเรื่องๆ อื่นๆ ที่จะปูเรื่องอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ ถึงจุดพีคแล้วจบ ส่วนในตอนท้ายคิดว่าตัดจบห้วนไปนิด รวมถึงเหตุผลในการข้ามกาลเวลาของคุนจังยังไม่ค่อยกระจ่างสักเท่าไร แต่ภายในเรื่องก็สอดแทรกเหตุการณ์ให้ชวนระทึก อีกทั้งยังมีมุขตลกปล่อยออกมาเป็นระยะๆ เป็นภาพยนตร์ที่มีหลากหลายรสชาติ มีทั้งตลก สุข ซึ้งจนน้ำตาซึมไปตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆ
เมื่อถูกแย่งชิงความเป็นที่ 1 เด็กร่าเริงจึงกลายเป็นเด็กขี้อิจฉาในสายตาพ่อแม่
การได้ดูคุนจังภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องมาด้วยความอบอุ่นของครอบครัวหนึ่งที่กำลังมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นมา แต่ความอบอุ่นนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปเพราะลูกชายคนโตเริ่มกลายเป็นตัวป่วน เพราะเขารู้สึกว่ากำลังถูกสมาชิกใหม่แย่งความรัก และค่อยๆ เกลียด มิไร สมาชิกใหม่ของบ้าน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่คนมีพี่น้องหลายคนเคยพบเจอ ทำให้ตรงจุดนี้ค่อนข้างกระทบต่อจิตใจพอสมควร และการที่เด็กคนหนึ่งที่เคยน่ารักสำหรับผู้ใหญ่กลายมาเป็นเด็กเอาแต่ใจ มันเป็นเพราะนิสัยแบบ “เด็กๆ” หรือเป็นเพราะผู้ใหญ่กำลังบีบให้เขาต้องกลายเป็นคนไม่น่ารักขึ้นมา?
ตัวเราที่เป็นผู้ใหญ่พอได้เห็นคุนจังเรียกร้องความสนใจด้วยการเรียกร้องหาพ่อแม่ตลอด ชักดิ้นชักงอ หนีออกจากบ้าน หรือแม้แต่ขว้างปาข้าวของกลับรู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมที่คุนจังแสดงออกมา แต่คุณเชื่อไหมว่าพฤติกรรมเหล่านี้ อย่างน้อยต้องมีสักอย่างที่คุณเคยแสดงออกมาเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก ส่วนตัวแล้วจำได้ว่าก็เคยหนีออกจากบ้านเพียงเพราะแม่ไม่ยอมเปิดเทปเพลงการ์ตูนให้ฟัง แล้วก็ไม่มีใครตามกลับบ้าน จนกระทั่งตกเย็นถึงได้เดินกลับมาเองเพราะหิวข้าว พอโตแล้วถึงได้รู้สึกว่าที่ทำไปนั้นมันบ้ามาก
หลังจากดูเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นอีกหนึ่งคำถามคือ ทั้งที่เราก็ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา แต่พอโตขึ้นทำไมถึงเข้าใจธรรมชาติของเด็กคนหนึ่งได้น้อยลงๆ ทุกที?
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ผู้กำกับเรื่องนี้ให้สัมภาษณ์ว่า ตอนเด็กๆ เราถูกพ่อแม่เลี้ยงดูมาแบบไหน เรื่องเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่น ต่อให้คุณจะบอกว่าโตไปจะไม่เป็นแบบพ่อแม่เด็ดขาด แต่ว่าเมื่อคุณมีลูกแล้ว ในบางครั้งคุณก็ทำกับลูกเหมือนกับที่คุณเคยเจอเมื่อเป็นเด็ก
คำว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น จึงค่อนข้างอธิบายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องได้ดีทีเดียว เพราะว่าคุนจังก็แทบไม่ต่างกับพ่อแม่ของเขาเมื่อตอนเป็นเด็กเลยทีเดียว แม่คุนจังที่คอยดุเวลาเขารื้อของออกมาเล่นแล้วไม่เก็บ ก็เคยทำแบบนี้มาก่อนตอนยังเล็ก
ตัวละครที่ค่อยๆ เติบโต
ในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอยู่ตลอดเวลา มีการพัฒนาทั้งร่างกาย และจิตใจ อย่างคุนจัง หลังจากที่ได้ผจญภัยไปในห้วงกาลเวลาก็ทำให้เขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะเป็นได้ จากเดิมที่เวลาทำอะไรล้มเหลวก็จะละทิ้งทุกอย่าง แต่หลังจากได้ก้าวผ่านเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อต่างๆ ก็กลายเป็นเด็กที่พยายามทำอะไรหลายๆ อย่างให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง หรือแม้แต่ยอมรับในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
ส่วนมิไรจังเราก็ได้เห็นพัฒนาการของทารกน้อยจากนอนนิ่งๆ คอยดูดนมแม่ จนสามารถคลานได้ และเลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ได้
พ่อแม่ก็มีการพัฒนาเช่นกัน จากเดิมที่พ่อทิ้งให้แม่เลี้ยงลูกคนแรกด้วยตัวคนเดียว พอมีลูกคนที่สองกลายเป็นว่าพ่อต้องมาดูแลมิไรจังแทน เพราะแม่ต้องกลับไปทำงาน ทำให้พ่อต้องทำงานบ้าน ทำอาหาร ดูแลลูกทั้งสองคน พาคุนจังไปโรงเรียน แรกๆ พ่อก็ทำอะไรเงอะงะ ไม่รู้ว่าจะต้องอุ้มมิไรอย่างไร ไม่รู้ว่าจะต้องใช้น้ำยาซักผ้ากับผ้าแบบใด แต่หลังจากเรียนรู้ ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกและบ้าน พ่อก็สามารถจัดการเรื่องภายในบ้านได้
ส่วนแม่ในตอนแรกๆ ที่ค่อนข้างอารมณ์ร้าย หลังจากที่ผ่านการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เธอก็สามารถควบคุมอารมณ์ และเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตร เวลาดูละคร หรือภาพยนตร์บางเรื่องจะเห็นว่าสามีมักพูดว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องไม่ลำบาก แค่เลี้ยงลูกเฉยๆ มันจะเหนื่อยไปกว่าการออกไปทำงานได้อย่างไร ส่วนตัวคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดความเหนื่อยยาก ความลำบากในการเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าดูแล้วจะขยาดการมีลูกนะคะ เพราะเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้อบอุ่นมากค่ะ เพราะแม้จะเหนื่อยยาก แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่เคล้าความสุข โดยเฉพาะเวลาได้เห็นลูกๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนคนดูอย่างเราอดน้ำตาซึมไปกับพ่อแม่คู่นี้ไม่ได้
หลังจากที่ได้ดูแล้วรู้สึกไม่ใช่แค่ตัวละครที่มีพัฒการ ตัวผู้ชมเองก็พัฒนา เติบโตไปพร้อมกับตัวละครเช่นกัน อย่างน้อยๆ ตอนนี้ก็อาจจะโมโหเวลาเห็นหลานเอาแต่ใจน้อยลง และพยายามทำความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กๆ มากขึ้น รวมถึงได้ตั้งคำถามกับตัวเองหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องของอนาคต
ตัวละครหลัก
มาทางด้านตัวละครหลักกันบ้าง คาแรกเตอร์ของเด็กชายคุนจังจอมวุ่นวายนั้น เป็นเด็กที่สดใส เอาแต่ใจและค่อนข้างดื้อตามประสาเด็กผู้ชายวัย 4 ขวบ ทั้งพูดเก่ง ทั้งซน ทำข้าวของรกแถมไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่สักเท่าไรอีก บวกกับพอน้องสาวตัวน้อยเข้ามาในบ้านแล้ว เริ่มดื้อไปกันใหญ่ ส่วนตัวแล้วคิดว่าผู้กำกับพยายามสื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ที่ในความเป็นจริงแล้วคนเป็นพี่เวลาเห็นพ่อแม่หันไปสนใจน้องแล้วก็เกิดกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้ง
ส่วนทางด้านมิไรจัง ที่ถ้าเกิดใครได้ดูเทลเลอร์หรือเห็นชื่อเรื่องก็คงจะเดากันได้แล้วว่า สาวม.ต้นที่เห็นนั้นเป็นน้องมิไรจังที่มาจากโลกอนาคต เด็กสาวผู้มาทวงความยุติธรรมจากพี่ว่าอย่ารังแกตัวเองตอนเด็ก รวมถึงยังสั่งสอนพี่ชายที่ยังอายุ 4 ขวบ ให้เป็นเด็กที่เป็นผู้เป็นคนมากกว่าตอนนี้ มิไรจังในอนาคตมีคาแรกเตอร์ที่ดูเป็นสาวแก่น สาวลุย และดูพึ่งพาได้มากกว่าพี่ชายซะอีก
ตัดเข้าสู่เรื่องภาพของอนิเมชัน จุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือไม่ได้แค่จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวหรือพี่น้องเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วย ‘ความแฟนตาซี’ เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอีกด้วย ว่ากว่าคุนจังคนพี่จะยอมรับน้องสาวตัวเองที่เกลียดแสนเกลียดนั้น ต้องผ่านด่านอะไรมาบ้าง บางฉากนั้นถึงกับต้องนั่งตีความกันเลยทีเดียวว่ามีที่มาที่ไปจากอะไร มีทั้งความลึกลับที่มาจากความคิดของตัวละครเด็ก และมโนภาพในจินตนาการต่างๆ ที่รวมเข้าด้วยกัน แต่ก็สมกับเป็นผลงานของ โฮโซดะ มาโมรุ เพราะทั้งสีและลายเส้นไม่ทำให้ผิดหวัง มีความละมุนเบาๆ ที่ดูแล้วสบายตาสบายใจเหมือนเคย โดยเฉพาะความท้องฟ้า และความทุ่งไม้ใบหญ้าที่ดูแล้วรู้สึกธรรมชาติเป็นที่สุด
ปิดท้ายด้วยเรื่องของเพลงประกอบ ซึ่งงานนี้เพลงประกอบได้ คุณยามาชิตะ ทัตสึโระ มาประพันธ์เพลงให้อีกด้วย ทางผู้กำกับโฮโซดะได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ที่เลือกคุณยามาชิตะมาแต่งเพลงประกอบให้เพราะเขาสามารถทำให้เพลงมีความสนุกสนานและเข้าถึงกับเด็กๆ ได้ ถ้าใครได้ลองไปดูแล้วจะรู้ว่าเปิดเรื่องมาก็รู้สึกอิ่มเอมใจไปกับดนตรีจนกระทั่งถึงตอนจบ เพราะเสียงเพลงก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอินไปหนังด้วย
ร่วมสัมผัสความประทับใจที่แสนอบอุ่นของครอบครัว ความเป็นพ่อคน แม่คนฉบับมือใหม่และสายใยสัมพันธ์ของพี่ชายน้องสาว ที่ต่อให้ใครเป็นลูกคนเดียวก็ต้องอมยิ้มไปกับภาพยนตร์อนิเมชันเรื่องนี้แน่นอน เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์