จากหนังเกาหลีสุดดังระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่อง Sunny ในปี 2011 สู่ฉบับรีเมกเวอร์ชันญี่ปุ่นโดยผู้กำกับ ฮิโตชิ โอเนะ ในชื่อเรื่อง Sunny: Our Hearts Beat Together – วันนั้น วันนี้ เพื่อนกันตลอดไป ครั้งนี้ทางมงคลซีนีม่าได้เป็นผู้นำเข้ามาฉายในไทยให้แฟนๆ ได้ชมกัน
เรื่องราวของ นามิ แม่บ้านสาววัย 40 ปี ที่ได้บังเอิญไปพบกับ เซริกะ เพื่อนสนิทวัยมัธยมที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ด้วยคำขอสุดท้ายของเซริกะ เธอจึงอยากรวบรวมแก๊งเพื่อนทั้ง 6 คนที่อยู่แก๊ง SUNNY (ซันนี่) ให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยหนังจะเล่าคู่ขนานไประหว่างชีวิตของนามิในช่วงวัยผู้ใหญ่และวัยรุ่นที่มีฉากหลังเป็นป็อปคัลเจอร์ยุค 90 ด้วยเหตุนี้เธอต้องเผชิญกับชีวิตของเพื่อนแต่ละคนในปัจจุบัน ที่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
เพื่อนที่เป็นเหมือนดั่งครอบครัว
แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพของแก๊งเพื่อนหญิง แต่ผู้ชายก็สามารถมาดูได้ โดยเฉพาะคนที่มีเพื่อนเป็นชาวแก๊งเฮฮาปาจิงโกะร่วมกันมา จะยิ่งเข้าใจว่ามิตรภาพเมื่อครั้งเยาว์วัยนั้นน่าคิดถึงเพียงใด ร้อยทั้งร้อยลองถามผู้ใหญ่วัยทำงานก็จะคิดถึงเรื่องสมัยเด็กกันทั้งนั้น แต่ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เล่าเพียงความสนุกสนานระหว่างผองเพื่อนเท่านั้น แต่ยังเล่าถึงปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว ความดราม่าที่ไม่สามารถผ่านพ้นไปด้วยตัวคนเดียวได้ จึงต้องมีเพื่อนที่พร้อมแบ่งปันทั้งความทุกข์และความสุขไปด้วยกัน
การดำเนินเนื้อเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรง สามารถเดาทางได้ง่ายในช่วงแรก คือการที่ให้ตัวเอกมีเป้าหมายในการตามหาและรวมกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมกลับมาพบกันอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าการเดินทางของมิตรภาพไม่มีอะไรสวยงามเสมอไป เพราะสิ่งที่เข้ามาระหว่างทางนั้นค่อนข้างเป็นปัญหาและมีอุปสรรคที่ซับซ้อน ภายในเรื่องเราจะเห็นทั้งการใช้ชีวิตและนิสัยของเพื่อนแต่ละคนที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากแต่ก่อน เมื่อกาลเวลาผ่านไปเหล่าตัวละครก็มีการเติบโตขึ้นและมีทางเดินเป็นของตัวเอง โดยตัวหนังจะเล่าสลับกันกับอดีตและปัจจุบัน ทำให้เรามองเห็นความต่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เมื่อกำลังจะสูญเสีย ถึงได้คิดถึงสิ่งที่สำคัญ
เรื่องเปิดมาโดยการเล่าถึงครอบครัวของ นามิ เราจะได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สามีไม่สนใจให้เงินใช้ไปวันๆ และลูกสาวที่กำลังอยู่ในวัยต่อต้าน ทำให้เธอรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่วนลูปอยู่แบบนี้ ในระหว่างที่เธอเหนื่อยกับชีวิตและต้องไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมแม่ของเธอ นามิก็ได้พบกับ เซริกะ เพื่อนสมัยมัธยมที่เคยร่วมแก๊ง ซันนี่ มาด้วยกันได้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น คำขอสุดท้ายของเซริกะคือ การได้พบกับเพื่อนชาวแก๊งทั้ง 6 คนพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ซึ่งนามิก็ยอมทำตามคำขอนั้นด้วยความเต็มใจ ตรงจุดนี้ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อคนเรากำลังจะตาย เราจะคิดถึงความทรงจำที่ดีและน่าคิดถึงเมื่อวันวาน ซึ่งในกรณีของเซริกะก็คือแก๊งซันนี่ ทั้งที่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อหากันเลยสักครั้งตั้งแต่เรียนจบสมัยมัธยม ทั้งที่ทุกคนในตอนนั้นต่างเป็นเพื่อนคนสำคัญ ซึ่งกว่าจะคิดได้ก็เกือบสายไปเสียแล้ว
ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน เพื่อนต้องไม่ทอดทิ้งกัน
เนื้อเรื่องของนามิในอดีตเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากบ้านนอก เธอทั้งเฉิ่ม ทั้งเชยและโดนกลั่นแกล้งรับน้องนานาสารพัด แต่ทว่าในตอนนั้นเพื่อนๆ แก๊งซันนี่ก็ได้เข้ามาช่วยเหลือและรับเธอเข้าแก๊ง ซึ่งสมาชิกในแก๊งจะมีทั้งหมด 5 คน เซริกะ, อุเมะ, ยูโกะ, ชินและนานะ โดยสาวๆ แต่ละคนจะมีบุคลิกและนิสัยแตกต่างกันไป ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ทุกคนก็ยังคงช่วยเหลือกันในยามที่เพื่อนลำบาก ตรงจุดนี้จะแสดงให้เห็นว่าต่อให้แต่ละคนจะมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองแค่ไหน แต่ก็ยังมีผองเพื่อนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันในยามลำบากอยู่ดี
ความฝันวัยเด็กกับชีวิตปัจจุบันที่อาจไม่สมหวัง
ทุกๆ คนย่อมเคยฝันไว้ว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร อยากจะได้อะไร ไม่เว้นแม้แต่เหล่าสาวๆ แก๊งซันนี่ พวกเธอในตอนเด็กต่างก็ฝันถึงอนาคตที่สวยงาม แต่ในโลกความเป็นจริงไม่ได้สวยหรูเหมือนกับนิทานที่ตอนจบต้องมีความสุขเสมอไป พอโตเป็นผู้ใหญ่ทุกคนก็มีปัญหาชีวิตมากมาย ทั้งการงาน การเงินและครอบครัว แต่เมื่อได้พบเจออุปสรรคก็ทำให้ได้มองย้อนทบทวนถึงเรื่องในอดีต โดยตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ว่าทำไมชีวิตของตัวเองถึงต้องเป็นแบบนี้ และเพราะเป็นอดีตจึงไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้
ตรงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาไม่มากก็น้อย มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้ แต่หลายคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งเป็นจุดที่ตอกย้ำให้เราได้คิดว่าตัวเองต้องพยายามให้มากขึ้น มากพอที่จะให้สำเร็จตามที่เคยหวังไว้ในอดีต และถึงแม้จะผิดพลาดสักเพียงใดก็พร้อมที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ
ฉากที่จะพาคุณย้อนไปป็อปคัลเจอร์ยุค 90 ที่โคตรเจ๋ง
เนื่องจากในหนังจะเล่าเรื่องราวสลับฉากอดีตกับปัจจุบัน แน่นอนว่าพอเป็นยุคสมัย 90s ของญี่ปุ่นก็ต้องหนีไม่พ้นกับแฟชัน โคแกล ที่เป็นสาวแกลแซ่บจี๊ดในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งกลุ่มแก๊งซันนี่ของนางเอกก็ตามเทรนด์ตามยุคสมัยไม่น้อยหน้าคนอื่นๆ เหมือนกัน โดยตัวหนังจะจำลองวิถีชีวิตในยุคนั้นอย่างละเอียดตั้งแต่การย้อมผม การแต่งหน้า การใส่กระโปรงสั้น การสวมเสื้อคาร์ดิแกน และที่โดดเด่นคือแฟชันถุงเท้า loose socks ถุงเท้าหลวมๆ ย่นๆ ที่ใครไม่ใส่ก็คือเอาต์มากกกก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้นับว่าเป็นจุดที่ทำให้ทึ่งอยู่เหมือนกัน เพราะแฟชั่นเหล่านี้แสดงออกมาให้เห็นว่าสาวมัธยมปลายในยุคนั้นสดใสและพลังเหลือล้นกันมากจริงๆ
หรือแม้กระทั่งท่าเต้นหรือท่าโพสต์ถ่ายรูปที่โคตรเชยในยุคนี้ เชื่อว่าใครหลายคนที่โตมากับยุคนั้นไม่มีใครไม่ทำจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าชูสามนิ้ว หรือท่าชูสองนิ้วไว้ตรงตา รวมถึงนิตยสารหรือบรรดารูปถ่ายจากกล้องฟิล์มเองก็จำลองได้เหมือนในยุคนั้นสุดๆ อย่างในเรื่องจะพูดถึง นิตยสาร Egg ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีอยู่จริงในญี่ปุ่น! ที่ในยุคนั้นถ้าใครได้ลงนิตยสารเล่มนี้ล่ะก็ นับว่าเป็นดาวเด่นในโรงเรียนเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่บ่งบอกเป็นความป็อปคัลเจอร์ในยุคนั้นมากขึ้นก็คือ อามุโระ นามิเอะ ราชินีเจป็อปของญี่ปุ่นที่สาวในยุคนั้นเวลาไปคาราโอเกะต้องกดเลือกเพลงเธอแน่นอน ซึ่งภายในหนังมีการสื่อถึงข่าวงานอำลำวงการของเธอด้วย ตรงจุดนั้นนี่แหละที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของนามิที่ทำให้คิดถึงเรื่องสมัยเรียนตอนได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่ ไม่เหมือนกับปัจจุบันที่ดูแลสามีและเลี้ยงลูกไปวันๆ
อีกอย่างคือการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในยุคนั้น จะเห็นว่าใช้ชีวิตได้เต็มที่จริงๆ อยากเต้นก็เต้น อยากเฮฮาเสียงดังกันมากแค่ไหนก็ดอนต์แคร์ ไม่เหมือนในยุคปัจจุบันที่ส่วนมากจะปฏิสัมพันธ์พูดคุยกันผ่านหน้าจอมือถือ โดยเฉพาะกลุ่มสาวๆ ถ้าอยู่ด้วยกันเป็นอันต้องเสียดังเป็นแน่แท้ แต่กลับกันพอเป็นยุคนี้ต่างคนต่างก็เล่นมือถือของตัวเองกัน ต่างคนต่างไม่รู้ว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ ซึ่งพอเห็นในตัวหนังแล้วก็ทำเอาอยากจะพูดกับเพื่อนตัวเป็นๆ ให้มากกว่านี้เลยทีเดียว
ความทรงจำ มิตรภาพ และรักครั้งแรก
นอกจากประเด็นของเพื่อนที่เป็นพอยต์หลักของเรื่องแล้ว ยังมีเรื่องของความรักระหว่างนางเอกและรุ่นพี่ที่แอบชอบ แน่นอนว่าสมัยมัธยมสาวๆ ทุกคนย่อมมีรักครั้งแรกเป็นของตัวเองทั้งนั้น ทำให้เราได้ย้อนวัยและเข้าใจมุมมองช่วงสมัยวัยรุ่นมากขึ้น
โดยรวมหนังเรื่องนี้แม้จะมีแก่นเรื่องเป็นเส้นตรงอย่างการตามหาเพื่อนให้ครบ แต่อย่าคิดว่าหนังจะเรียบง่ายอย่างที่คิด เพราะเรื่องราวที่สื่อออกมานั้นมีมิติมากกว่านั้น เรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก ครอบครัวหรือปัญหาชีวิตของแต่ละตัวละครนั้นเรียกได้ว่าทั้งอบอุ่นและเคล้าน้ำตา แต่อาจเพราะเวลาของหนังมีจำกัดจึงทำให้เราได้ชมบทของตัวละครบางตัวได้ไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร ถึงอย่างนั้นก็บอกได้คำเดียวว่างดงาม ซึ่งดูได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงจะอินกับเรื่องราวนี้มากจนหากดูจบคุณอาจจะนัดเจอเพื่อนสมัยก่อนขึ้นมาได้เลย
มาทางด้านของนักแสดงกันบ้าง ต้องยอมรับเลยว่านักแสดงทุกคนฝีมือดีและเล่นได้สมบทบาทมาก ทั้งๆ ที่ผู้ที่รับบทตัวละครของแก๊งซันนี่เป็นนักแสดงในยุคปัจจุบันแท้ๆ แต่กลับแสดงออกมาดูเป็นวัยรุ่นยุค 90s ได้อย่างสมจริง และงานนี้เราจะได้เห็น นามิ หรือ ฮิโรเสะ ซึสึ นางเอกของเรื่องพูดภาษาบ้านนา มีความเหน่อสไตล์น่ารัก นอกจากจะแก๊งของซันนี่ที่เปรี้ยวเข็ดฟันแล้วอีกหนึ่งตัวละครหลักที่ลืมไม่ได้คือ มิอุระ ฮารุมะ อีกหนึ่งเจ้าพ่อไลฟ์แอ็กชันที่สาวๆ หลายคนตกหลุมรัก ซึ่งเชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูแล้วจะต้องโดนฮารุมะตกแน่นอน! เพราะบทนี้นอกจากคารมดี อ่อนโยนแล้ว ยังแฝงความเป็นผู้ใหญ่ที่เท่คูลเบาๆ อีกด้วย
สุดท้ายนี้ขอพูดถึงเรื่องเพลงประกอบที่เพราะมาก! เพราะถึงขนาดดูจบแล้วถึงกับต้องมาเสิร์จหาเพลงประกอบเลยทีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่เพลงประกอบในเรื่องจะเป็นของ อามุโระ นามิเอะ ราชินีเพลงป็อปที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ฟังแล้วจะพาให้คิดถึงญี่ปุ่นในยุคเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง Don’t wanna cry, SWEET 19 BLUES นอกจากนี้ยังมีอีกเพลงที่จะติดหัวคุณตั้งแต่ได้ชมตัวอย่างหนัง อย่างเพลง Tsuyoi Kimochi ・Tsuyoi Ai / Sore Wa Chotto ของคุณ โอซาวะ เคนจิ นักร้องรุ่นเก่าในตำนาน ซึ่งเป็นเพลงที่ฟังแล้วจะทำให้คุณอินกับหนังมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ชวนเพื่อนไปดู! ร่วมสัมผัสความประทับใจกับมิตรภาพที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ของแก๊ง ซันนี่ ที่จะทำให้คุณคิดถึงเพื่อนของคุณในวันวาน รับชมความอบอุ่นและเสียน้ำตาไปพร้อมกัน 31 มกราคม 2562 ในโรงภาพยนตร์