(บางส่วนของบทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญของเรื่อง ซึ่งอาจทำให้เสียอรรถรสในการรับชมผลงาน)
ซากุราดะ
คือชื่อของเมืองแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ตรงชายขอบมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศญี่ปุ่น มองดูเผินๆ นี่ก็เป็นเมืองที่สงบสุขดีเหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่ปกติสุขบนโลกนี้ ผู้คนกว่าครึ่งในเมืองนี้มีความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ และแม้จะไม่มีการเปิดเผยสู่สาธารณชน แต่ผู้คนทั่วไปก็รู้จักซากุราดะกันดีในฐานะ “เมืองของผู้มีพลังวิเศษ”
รีเซ็ต
คือหนึ่งในพลังวิเศษที่ว่ามา มันเป็นของสาวน้อยจืดจาง “ฮารุกิ มิโซระ” พลังที่ว่านี้คือการรีเซ็ตโลกกลับไปให้เหมือนกับว่า 3 วันที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นพลังที่รุนแรงต่างจากพลังส่วนใหญ่ของผู้คนในเมือง ซึ่งมักจะเป็นพลังที่ดูไร้สาระอย่างการเลื่อนเวลาส่งข้อความเสียงได้ หรือการสัมผัสความรู้สึกแมวได้ เธอจึงถูก “กรมควบคุม” หน่วยงานซึ่งมีไว้ป้องกันการใช้พลังวิเศษในทางที่ผิดเฝ้าจับตา โดยให้เข้าทำงานใน “ชมรมอาสา” คู่กับ “อาซาอิ เคย์” เด็กหนุ่มผู้มีความสามารถในการเก็บรักษาความทรงจำ
ภารกิจฆ่าเวลา
คืองานที่ทั้งสองคนได้รับมอบหมายในครั้งนี้ เป็นคำขอร้องที่น่าเคลือบแคลงจากหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอยากให้แมวที่พึ่งจะประสบอุบัติเหตุตายไปของเธอฟื้นคืนชีพขึ้นมา และการจะทำเช่นนั้นได้ก็มีเพียงวิธีการเดียว นั่นก็คือการ “รีเซ็ต”
ทั้งหมดคือเนื้อเรื่องคร่าวๆ ของ “ซากุราดะ รีเซ็ต ภารกิจฆ่าเวลา” หนังสือนิยายเล่มใหม่จากสำนักพิมพ์ Enter Books ซึ่งเขาเคลมว่าติดอันดับท็อปเท็นไลท์โนเวลน่าอ่านปี 2013
ซากุราดะ รีเซ็ต ภารกิจฆ่าเวลา เล่ม 1 แมว, ผี และวันอาทิตย์แห่งการปฏิวัติ
เขียน ยูทากะ โคโนะ
ภาพ ยู ชิอินะ
แปล ชนินันท์ กิตติปฏิมาคุณ
เรียบเรียง ธีรินทร์ อังค์ไพโรจน์
สำนักพิมพ์ คาโดคาวะ โชเท็น (2552, ญี่ปุ่น) เอ็นเธอร์บุ๊คส์ (2558, ไทย)
ราคา 159 บาท
*คำแนะนำนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของกองบรรณาธิการซึ่งอาจมีความชื่นชอบแตกต่างจากผู้อ่านแต่ละคน จึงขอให้ผู้อ่านพิจารณาด้วยตนเองประกอบ
พูดถึงโลกที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังวิเศษ เราก็คงนึกถึงโลกของซูเปอร์ฮีโร่อย่างเอ็กซ์เม็น แต่ที่ซากุราดะนี้พลังของพวกเขาไม่ได้สามารถพะบู๊กันได้ล้างผลาญขนาดนั้น เมื่อคำว่าพลังถูกกล่าวขึ้นมาในเรื่องนี้ เราจึงไม่รู้เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษอะไร หากแต่เหมือนกับคนธรรมดาที่มีความสามารถพิเศษๆ อย่างการบอกว่าคนคนนี้เล่นฟุตบอลเก่งนะเท่านั้นเอง เพราะแม้แต่ในเมืองซึ่งพลังวิเศษเป็นเรื่องปกตินี้ ผู้คนก็ยังเชื่อในเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างเรื่องผีหรือยูเอฟโอกันอยู่ ตรงนี้ก็เป็นความขัดแย้งที่น่าสนใจดีครับ จะว่าไปมันก็คล้ายกับคำพูดใครซักคนที่เคยบอกไว้ว่า “เมื่อทุกคนพิเศษ เมื่อนั้นก็ไม่มีใครพิเศษ”
ย่อหน้านี้เป็นย่อหน้าที่ดีที่สุดที่จะใช้อธิบายพลังรีเซ็ต สิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนเป็นอย่างยิ่งคือ พลังของฮารุกิในเรื่องนี้ไม่ใช่การย้อนเวลาทั่วไป แบบโดราเอมอน หรือหนังอย่าง X-Men : Days of Future Past ซึ่งขณะที่ย้อนเวลามา โลกอนาคตก็ยังคงอยู่ หากแต่เป็นการ “รีเซ็ต” กล่าวคือโลกจะกลับไปเป็นเมื่อ 3 วันก่อน สิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 3 วันนั้นก็จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่ฮารุกิซึ่งเป็นผู้ใช้พลังเองก็จะไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำการรีเซ็ตโลกมาแล้ว โลกเมื่อ 3 วันก่อนนั้นเคยเกิดขึ้นจริงเพียงแต่ในความทรงจำของอาซาอิ ซึ่งมีพลังสำหรับทำเช่นนั้นเท่านั้น ฉะนั้นเหตุผลของการรีเซ็ตแต่ละครั้งจึงต้องเพียงพอที่จะให้ทำเช่นนั้น
ประเด็นก็คือ ไอ้บรรดาพลังวิเศษในเรื่องนี้ แม้แต่พลังสุดร้ายแรงอย่างการรีเซ็ตโลกนั้น พอมาคิดดูดีๆ แล้วมันก็เป็นพลังที่ไร้ประโยชน์มาก จะมีประโยชน์อะไรถ้าเรารีเซ็ตโลกกลับไปเริ่มใหม่เมื่อ 3 วันก่อน โดยเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรารีเซ็ตอะไรไป และทุกๆ อย่างก็จะดำเนินไปตามเดิมเหมือนกับโลกที่เราไม่ได้รีเซ็ต แต่เมื่อเอาพลังรีเซ็ตของฮารุกิ มารวมกับพลังที่ดูไร้สาระอย่างการเก็บรักษาความทรงจำไว้ของเคย์ ก็ทำให้กลายเป็นพลังสุดวิเศษขึ้นมาได้
นี่เป็นผลงานเรื่องยาวเล่มแรกของอ.ยูทากะ โคโนะ ผู้เขียน ที่รู้ก็เพราะเขาเขียนบอกไว้เองในส่วน “จากใจนักเขียน” ความยาว 8 หน้าที่อยู่ท้ายเล่มนี้ ซึ่งถึงเราจะไม่เคยเจอหน้าค่าตากันมาก่อน ผมก็บอกได้ว่าเขาผู้นี้คงเป็นคนที่มีความคิดมากมายอยู่ในหัว น่าจะมีนิสัยเป็นคนช่างคิด ช่างตั้งคำถาม และสนใจในเรื่องที่คนมักไม่สนใจมากทีเดียว ถ้าจะถามว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น เรามาดูบางช่วงบางตอนจากบทแรกกันดีกว่าครับ
ด้านบนนี้เป็นบางช่วงบางตอนจากหนังสือ ซึ่งทางเอ็นเธอร์บุ๊คส์มีให้ทดลองอ่านฟรี ที่ >>คลิกเลย<< (ให้อ่านฟรี 50 หน้า จากหนังสือจำนวน 250 หน้า พี่จะใจป้ำไปไหนครับ) ผมรู้สึกชอบสี่ห้าย่อหน้านี้มากตั้งแต่เริ่มเปิดอ่าน มันสะท้อนนิสัยช่างคิดของทั้งผู้เขียน และของตัวละครอาซาอิ เคย์ ไปพร้อมๆ กัน การพูดถึงเรื่องอะไรซักอย่างให้ยืดยาวของเขานั้นไม่ได้เกิดจากความเป็นคนชอบออกนอกเรื่อง แต่เพราะมีความคิดมากมายหลั่งไหลออกมามากกว่า ซึ่งเราจะสามารถเห็นเขาแบ่งนิสัยส่วนนี้ของตัวเองลงไปในนิสัยของตัวละครต่างๆ ซึ่งสื่อออกมาผ่านบทสนทนาทั้งในความจริงและความคิดของตัวละครเหล่านั้น
เนื้อเรื่องในช่วงแรกๆ ดำเนินไปด้วยปริศนาที่เกี่ยวข้องกับคำขอร้องให้ช่วยแมว สลับกับความคิดเรื่อยเปื่อยของบรรดาตัวละคร แล้วก็เนือยๆ ไปจนถึงช่วงกลางเรื่อง ก่อนจะกลับมาน่าตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อเริ่มมีฉากใช้พลังปะทะกันซึ่งผมไม่คิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ แม้จะเป็นนิยายเกี่ยวกับผู้มีพลังวิเศษก็ตาม แต่ใครจะไปเชื่อว่า การมีพลังอย่าง “รักษาความทรงจำ” จะทำให้เกิดฉากแอคชันสนุกๆ อย่างมีชั้นเชิงขึ้นมาได้
ภาพโปสเตอร์ตัวละครสี่สีขนาดยาวที่แถมมากับเล่ม
หน้าสำคัญที่ห้ามอ่านข้ามเด็ดขาดคือหน้าแนะนำตัวละครครับ เพราะว่า ไม่แน่ใจว่าผู้เขียนเห็นว่ามีหน้านี้แล้วหรือยังไง ข้างในเลยไม่อธิบายว่าตัวละครตัวไหนเป็นอย่างไรเลย แล้วพออ่านไปซักพัก คุณก็จะพบกับชื่อตัวละครถล่มมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็คั่นหน้านี้ไปเลยครับ กว่าผมจะจำได้ว่าตัวละครตัวไหนเป็นตัวไหนก็ต้องกลับมาดูหน้านี้ประมาณสี่ห้าครั้งได้
นอกจากความสับสนในตัวละครต่างๆ แล้ว อีกเรื่องที่สับสนพอๆ กันก็คือไทม์ไลน์ ซึ่งก็แน่ล่ะ นี่มันนิยายย้อนเวลา ฉะนั้นถ้าเราอ่านข้ามหรือพลาดอะไรไป ก็จะสับสนได้ว่าเหตุการณ์ไหนมันเกิดขึ้นตอนไหนนอกจากนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมีความเกี่ยวข้องโยงใยกันทั้งหมด ไปจนถึงเมื่อปริศนาต่างๆ เริ่มคลี่คลาย ที่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องขมวดขึ้นมาเข้มข้นขึ้นมาก เพียงแต่ว่าตอนเฉลยที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ เราอาจจะรู้สึกว่า “ง่ายจัง” ไปสักหน่อย
เนื้อเรื่องของซากุราดะ รีเซ็ต เล่มนี้ ทิ้งปมปริศนาไว้มากมายให้ติดตามกันต่อไปยาวๆ โดยฉบับภาษาญี่ปุ่นมีออกมาแล้ว 7 เล่ม แต่ละเล่มก็จะมีลักษณะการตั้งชื่อเล่มคล้าย ๆ กัน คือเป็นคำสามคำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในตอนนั้นๆ เช่นเล่ม 2 ที่ชื่อว่า “แม่มด, รูปภาพ และเด็กผู้หญิงตาสีแดง” โดยเล่ม 7 ซึ่งเป็นสุดท้ายออกมาในเดือนเมษายน ปี 2012 แปลว่าน่าจะจบแล้ว (หรือเปล่า) และเราคงได้อ่านเล่มต่อไปกันเร็วๆ นี้ นอกจากนั้นเนื้อหาในเล่มแรกนี้ ยังเคยถูกดัดแปลงเป็นมังงะ ความยาว 2 เล่มจบอีกด้วย
ภาพปกซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง หากมองผ่านๆ คงนึกว่าเป็นนิยายรักโรแมนติก รวมไปถึงภาพประกอบภายในเล่มเป็นผลงานของอ.ยู ชิอินะ ผู้วาดภาพประกอบหนังสือนิยายมาแล้วมากมาย ที่น่าจะรู้จักกันก็อย่างเช่น Monochrome Myst หรือ Morpheus no Kyoshitsu นอกจากนั้นผลงานของเธอก็หาได้ทั่วไปเป็นวอลเปเปอร์แจกฟรีในอินเตอร์เน็ต (น่าสงสารจริงๆ) เชื่อว่าถ้าได้เห็นน่าจะคุ้นลายเส้นกันแน่นอนครับ
ถึงจะบอกว่าเป็นนิยายแฟนตาซี แต่มันก็ไม่ได้หวือหวา และถึงจะบอกว่ามันเป็นนิยายสืบสวนสอบสวน มันก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น ฉะนั้นนิยายเรื่องนี้ไม่ได้สนุก แต่เป็นนิยายที่ “ดี” ทีเดียว สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญกว่า ที่คุณจะได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ คือคุณจะได้สัมผัสกับความคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ทั้งที่ปกติ และไม่ปกติ ที่เหนือมนุษย์ และไม่เหนือมนุษย์ ซึ่งพร้อมจะเปิดให้คุณได้คิดตามไปด้วยนั่นเอง