นักบวชที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการแหกกฏความเป็นนักบวชต้องยกให้ มิโรคุ จากเรื่อง อินุยาฉะ เทพอสูรจิ้งจอกเงิน เพราะเจ้าตัวเป็นนักบวชแท้ๆ แต่กลับชอบไปแต๊ะอั๋ง พูดจาแทะโลมสาวๆ ชนิดที่ว่าแม้แต่ปิศาจสาวสวยก็ยังคงเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัว จนนักล่าปิศาจสาวอย่าง ซังโกะ ที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาต้องโมโหหึงทุกครั้งไป แต่ใครจะไปคิดว่าสองคนที่นานทีจะมีโมเมนต์กันสักครั้งนึงจะรักกันได้จนถึงขนาดมีลูกสามเลยทีเดียว
ประโยคที่ไม่ได้พูดออกไป
“ช่วยคลอดลูกให้ข้าสักคนจะได้ไหม?”
ประโยคฮิตติดปากที่นักบวชมิโรคุเจอสาวงามทีไรก็มักจะพูดใส่เสมอ ไม่เว้นแม้แต่คาโงเมะในตอนที่เจอกันครั้งแรกก็พูดประโยคนี้ใส่จนอินุยาฉะมองตาเขียว ทว่าประโยคที่ว่านี้กลับไม่เคยได้ใช้กับซังโกะเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ซังโกะรู้สึกไม่พอใจกับการที่มิโรคุเอาแต่พูดประโยคนี้ใส่ผู้หญิงคนอื่น แต่มิโรคุก็บอกว่ามันเป็นนิสัยของเขาอยู่แล้วที่ชอบพูดแบบนี้กับผู้หญิงที่เจอหน้าทุกคน (แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรสักนิดอยู่ดี)
ซังโกะที่ได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “แต่ไม่เห็นเคยพูดกับข้าเลยนี่นะ” มิโรคุได้ยินก็รีบคว้ามือซังโกะมาเตรียมพูดประโยคที่ว่านั้นทันที แต่ซังโกะกลับดักคอไว้ก่อนว่าไม่ต้องมาพูดหรอกย่ะ! ประหนึ่งว่าถ้าไม่เอ่ยให้รู้ตัวก็คงจะไม่พูดออกมาสินะ นับว่าเป็นความหึงหวงที่ตัวเองอยากมีบ้างของซังโกะเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะคอยปกป้องอยู่เสมอ
ถึงมิโรคุจะเป็นนักบวชที่ไม่ได้มีฝืมือแกร่งกล้าเหมือนดั่งอินุยาฉะ แต่เขาก็มีความกล้าหาญในการต่อสู้อยู่ไม่น้อย อาวุธที่นอกเหนือจากไม้เท้า ยันต์ กำไลอาคม สิ่งของต่างๆ ที่นักบวชควรจะมีแล้ว เขายังมี ช่องว่างแห่งลม ที่เป็นคำสาปสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ แต่ในเหตุการณ์ที่ซังโกะต้องช่วยโคฮาคุน้องชายที่ถูกนาคารุควบคุมอยู่นั้น ระหว่างที่มิโรคุกำลังจะใช้ช่องว่างแห่งลมเพื่อกำจัดฝูงปิศาจ นาราคุก็ปล่อยแมลงพิษที่เมื่อช่องว่างแห่งลมดูดเข้าไปก็จะปล่อยพิษเล่นงาน เพื่อที่จะให้อินุยาฉะไปช่วยซังโกะกับคาโงเมะได้ทันเวลา เขาจึงยอมสละตัวเองถ่วงเวลาไว้จนร่างกายบาดเจ็บสาหัสแทน
หลังจากที่โคฮาคุหนีไปได้ มิโรคุก็เข้าพักฟื้นดูอาการอย่างน่าเป็นห่วงเพราะโดนพิษเล่นงานหนัก ซังโกะคอยเฝ้าปฐมพยาบาลอยู่ไม่ห่างพร้อมทั้งเอาแต่โทษตัวเอง มิโรคุที่ฟื้นขึ้นมาจึงเอ่ยปากอย่างอ่อนโยนว่า “ซังโกะ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นเลยนะ เรื่องโคฮาคุน่ะ เรายังมีความหวัง เพราะฉะนั้นยิ้มสู้เขาไว้เถอะ” เป็นความห่วงใยที่ต่อให้ร่างกายตัวเองต้องเจ็บปวด มิโรคุก็ที่จะพร้อมปกป้อง และคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ
ขอแค่เธอมีความสุขก็เพียงพอ
ไม่ได้มีแต่ซังโกะที่คอยเอาแต่หึงมิโรคุอยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็มีฉากที่มิโรคุเองก็หึงซังโกะอยู่เหมือนกัน อย่างตอนคุณชาย คุราโนะสุเกะ ที่ตกหลุมรักซังโกะมาตั้งแต่สมัยเด็กได้เข้าขอซังโกะแต่งงานต่อหน้ามิโรคุ ทำให้มิโรคุรู้สึกว่าตัวเองแพ้เขาไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะฐานะ หน้าตา บุคลิก ลักษณะนิสัยต่างๆ และเริ่มกลัวว่าซังโกะจะปันใจไปให้เขาจึงคอยแอบดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ในขณะที่กำลังแอบมองทั้งสองคุยกัน ซังโกะก็กล่าวคำดีใจที่คุณชายได้มอบความรู้สึกดีๆ ให้แก่เธอ มิโรคุได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินออกไปทันที คาโงเมะที่รู้สึกเป็นห่วงกับความสัมพันธ์ทั้งสองคนจึงพยายามเชียร์ให้มิโรคุเข้ารุกซังโกะ ทว่ามิโรคุกลับบอกว่า
“ถ้าคิดถึงความสุขของซังโกะแล้วละก็ ข้าน่าจะปล่อยเขาไปไม่ใช่หรือไง อยู่กับคนอย่างข้าที่มีภาระหนักแบกชะตากรรมที่ต้องสู้กับปิศาจร้ายที่ชื่อนาราคุ กับการที่เป็นเจ้าสาวอยู่กับท่านคุราโนะสุเกะอยู่ที่นี่ อะไรจะมีความสุขมากกว่ากันล่ะ”
ประโยคยาวเหยียดนี้เล่นเอาคาโงเมะถึงกับพูดไม่ออก แต่สุดท้ายซังโกะก็ปฏิเสธคุณชายไปด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองมี ภาระสำคัญ ที่ต้องจัดการอยู่ จึงบอกปัดให้คุณชายไปเลือกคนอื่นที่ดีกว่าเธอ และในใจจริงเธอไม่ได้รักคุณชายด้วย มิโรคุเห็นว่าซังโกะตัดสินใจอยู่ร่วมเดินทางด้วยกันจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันตา “โล่งอกไปที… ก็ข้าได้ร่วมเดินทางกับซังโกะต่อไปน่ะสิ” ซังโกะได้ยินประโยคนั้นก็ยิ้มรับอย่างมีความสุข เรียกได้ว่าทั้งสองคนต่างใจตรงกันมาสักพักแล้ว แต่แค่ไม่ได้บอกความรู้สึกออกไปให้รู้กันเท่านั้นเอง
ลางสังหรณ์ที่มีแค่เธอ
ซังโกะออกเดินทางกลับไปหมู่บ้านเพื่อซ่อมกระดูกบิน มิโรคุรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ซังโกะกลับมาช้ากว่าตามที่นัดกันไว้ เขาเอาแต่พะว้าพะวงว่าการที่ซังโกะไม่ยอมกลับมา อาจเป็นเพราะตัวเองชอบไปจับก้นจนเธอหนีไปก็เป็นได้ มิโรคุกังวลมากถึงขนาดไปปรึกษาคาโงเมะว่า “การจับก้นเป็นการทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจกันหรือเปล่า” เขาเอาแต่คิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ซังโกะไม่กลับมาเป็นเพราะต่อสู้กับปิศาจอยู่
ในขณะที่ซังโกะกำลังอยู่ในสถานการณ์คับขันกับการเล่นงานของเหล่าปิศาจ มิโรคุก็รีบกระโดดเข้ามาช่วยได้ทันเวลา พร้อมใช้ช่องว่างแห่งลมกำจัดปิศาจจนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว ภายหลังอินุยาฉะเฉลยกับซังโกะว่ามิโรคุเอาแต่เป็นห่วงจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ ซังโกะที่รู้สึกเคอะเขินก็ตัดสินใจลองเชิงถามนักบวชหนุ่มดู “ท่านนักบวชเป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยเหรอ” และก็ได้คำตอบกลับที่ทำให้ซังโกะถึงกับประทับใจไม่รู้ลืม “เรียกว่าเป็นลางสังหรณ์ก็คงจะได้มั้ง ซังโกะ ภาพของเจ้ายังคงวนเวียนอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมหายไปไหนเลยน่ะสิ” จากคนที่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา แต่ต้องมาห่างไกลกันก็เล่นทำเอามิโรคุไม่วายเป็นห่วงจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ห่วงใยกันและกัน
ในตอนที่ทีมอินุยาฉะออกเดินทางตามหาลูกแก้วสี่วิญญาณ ได้ไปพบกับหมู่บ้านหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดผู้ชายทั้งหมู่บ้านหายตัวไป ว่ากันว่าถูกปิศาจสาวสวยจับตัวไป มิโรคุจึงรีบออกอาสาเข้าช่วยเหลือเพราะสาวๆ ในหมู่บ้านต่างพากันขอร้อง ทว่าซังโกะรู้จักนิสัยชีกอของมิโรคุเป็นอย่างดีจึงเสนอตามไปด้วย ก่อนที่จะเข้าไปในเขตอาคมลึกลับ มิโรคุเห็นท่าไม่ดีจึงถอด กำไลอาคม ของตัวเองมอบให้ซังโกะพกติดตัวเอาไว้กันเหตุฉุกเฉิน เป็นความห่วงใยที่ไม่ได้ออกหน้าออกตามากนัก แต่แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่ามิโรคุนั้นอยากให้ซังโกะปลอดภัย และสุดท้ายกำไลนั้นก็ช่วยพรางตัวปกป้องซังโกะจากการทำร้ายของปิศาจหมาป่าได้
หลังจากการต่อสู้จบลงมิโรคุเข้าไปกอดปลอบวิญญาณเจ้าหญิงที่ถูกปิศาจหมาป่ายึดร่างไป ซังโกะเห็นดังนั้นก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าถ้าตัวเองไม่อาสาไปช่วย ยังไงมิโรคุก็คงเอาตัวรอดได้อย่างสบายอยู่ดี ทว่ามิโรคุก็รับรู้ถึง ความห่วงใยของซังโกะ อย่างแท้จริงจึงกล่าวว่า “ผู้หญิงอื่นจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่ว่าเจ้าเป็นห่วงข้าแบบนี้ข้าดีใจที่สุด” พร้อมกับจับมือและมองตาซังโกะอย่างจริงใจ ประโยคนี้เล่นเอาทำสาวเจ้าเขินหน้าแดงจนทำตัวไม่ถูก บรรยากาศกำลังไปได้ดี สุดท้ายก็มาพังเพราะมิโรคุจับก้นซังโกะ (อีกแล้ว) เป็นอันปิดฉากโมเมนต์น่ารักกุ๊กกิ๊กของทั้งสองคนที่นานทีจะมีครั้งนึง
แม้ว่าความรักของทั้งสองคนจะไม่เด่นดังเหมือนกับคู่หลักของเรื่อง แต่กว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กันขึ้นมาได้นั้นก็ผ่านอุปสรรคต่างๆ มาไม่น้อยเหมือนกัน จนท้ายที่สุดทั้งมิโรคุและซังโกะก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะสามีภรรยา พร้อมกับให้กำเนิดลูกสาวฝาแฝด และลูกชายอีกหนึ่งคนให้เป็นพยานรักของความรักทั้งคู่ อีกทั้งมิโรคุยังเลิกนิสัยชีกอที่ชอบแทะโลมสาวๆ ไปอย่างเด็ดขาดเลยด้วย