Escort Nicecanlı bahis siteleriizmir buca escortdeneme bonusu veren sitelerhttps://www.ertecongress.org/casino sitelerisweet bonanzacanlı casino sitelerislot sitelericasinoslot oynakuşadası escortmalatya escortcifturkey.orgyoutube mp3

[mangaka!] สึจิยามะ ชิเงรุ : เจ้าพ่อการ์ตูนอาหารลูกผู้ชายเลือดเดือด

“ไม่ใช่แค่เครื่องปรุง แต่ต้องขุดลึกลงไปในใจของคนกิน”


Taishu_20501_2หากคุณพอจะคุ้นเคยกับปกการ์ตูนลายเส้นตัวละครลูกผู้ชายหุ่นกล้ามล่ำบึ้กราวกับหลุดออกมาจากยุทธจักรจีนกำลังภายในที่ไม่ได้กำลังออกกำลังกายหรือต่อสู้กับเหล่าร้าย หากแต่กำลังจับตะเกียบโซ้ยราเม็งอย่างเมามันลืมตายล่ะก็ไม่ต้องสับสนไป เพราะนั่นคือลายเส้นเอกลักษณ์ที่เป็นเสมือนลายเซ็นของ อ.สึจิยามะ ชิเงรุ เจ้าพ่อการ์ตูนอาหารลูกผู้ชายเลือดเดือดยังไงล่ะ!

อ.สึจิยามะ ชิเงรุ เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1950 เป็นชาวเมืองคานาซาวะ จังหวัดอิชิคาวะ เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน และเริ่มมาเอาดีด้านการเขียนการ์ตูน โดยเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยของอ.โมจิสึกิ มิกิยะ นักเขียนเจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง 7 สิงห์ประจัญบาน (Wild 7) อยู่นาน ก่อนจะเดบิวต์ผลงานเรื่องแรกของตัวเอง ดัลลัส โนะ อัตสึอิ ฮิ (Dallas no Atsui Hi) ในนิตยสารการ์ตูนรายเดือน โชเน็น แชมเปี้ยน ของสำนักพิมพ์อาคิตะโชเต็น (ฉบับเดียวกับการ์ตูนดังอย่าง Crows เรียกเขาว่าอีกา)

นอกจากการ์ตูนแนวนักเลงและการ์ตูนแนวย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์แล้ว การ์ตูนของอ.สึจิยามะในยุคแรกมักจะมีเนื้อเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของอาชีพ หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ (Baiou, 2004) พนักงานขาย (Dobu, 2001) หรือนักข่าว (Bakudan Kisha Fudoumaru) เขาก็สามารถเขียนออกมาให้เป็นการ์ตูนที่ดุเดือดเลือดพล่านได้


“ถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ จะไปกินราเม็งให้สะใจเลย!!”


อาจจะแปลกๆ สักหน่อย แต่จุดเริ่มต้นความสนใจในเรื่องอาหารของอ.สึจิยามะนั้นคืออาหารผู้ป่วยสุดจืดชืดที่ต้องกินวันละสามมื้อในช่วงที่ล้มป่วยโดนหามเข้าโรงพยาบาลเพราะโหมงานหนักเกินไป คนไข้คนอื่นๆ เองก็รู้สึกเหมือนกัน ในห้องผู้ป่วยแห่งนั้นจึงพูดคุยกันแต่เรื่องอาหารอร่อยๆ ที่อยากกินถ้าได้ออกจากโรงพยาบาลกันอย่างสนุกสนาน

ความทรงจำในวันนั้นผลักดันให้เขาเริ่มเขียนการ์ตูนอาหาร และการ์ตูนของเขาก็กลายเป็นที่รู้จักในแง่ความเร่าร้อนแบบลูกผู้ชาย รายละเอียดสีหน้าท่าทางขณะกิน รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ซึ่งเริ่มแสดงให้เห็นชัดใน ไอ้หนุ่มราเม็ง (Kenka Ramen Hakatasoup-Hen | บูรพัฒน์, 4 เล่มจบ) อดีตหัวหน้าแก๊งนักเลงที่มารับช่วงต่อร้านราเม็งจากพ่อ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารมังงะ โกราคุ รายสัปดาห์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 1995

Untitled-1หนึ่งในการ์ตูนทำอาหารยุคแรกๆ ที่ต้องพูดชื่อออกมาถ้าจะพูดถึงเขาก็คือ ซูเปอร์กุ๊ก กระตุกต่อมอร่อย (Shoku King, 1999 | บูรพัฒน์, 27 เล่มจบ) เรื่องราวของ คิตะคาตะ ซันไซ เชฟอัจฉริยะรุ่นที่สี่ของภัตตาคารชื่อดัง ฮาโกดาเตะโกะเรียวคาคุเทย์ ที่อยู่ดีๆ ก็ออกพเนจรและเปิดเว็บไซต์รับจ้างฟื้นฟูร้านอาหารทั่วราชอาณาจักรด้วยเหตุผลบางอย่าง

การฟื้นฟูร้านของคิตะคาตะนั้นเรียกได้ว่าครบวงจร ตั้งแต่มองหาจุดเด่นและจุดด้อยของร้าน ว่าอะไรควรรักษา พัฒนา ปรับปรุง หรือยกเลิก คิตะคาตะมองสิ่งเหล่านี้และตัดสิน (ด้วยภาพใบหน้าขึงขังขนาดใหญ่พาดสองหน้ากระดาษตะโกน) ว่า “ร้านนี้น่ะเจ๊งแน่นอน!” ได้ด้วยการชิมอาหารเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น

Untitled-2การฟื้นฟูของคิตะคาตะนั้นครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงเมนูใหม่ให้เหมาะกับร้าน ไปจนถึงวิธีที่สามัญสำนึกของผู้อ่านอย่างเราๆ นั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำไมต้องจับพ่อครัวไปฝึกงานร้านปาจิงโกะ เก็บที่นอนหมอนมุ้ง หรือขัดห้องน้ำโรงแรม แต่หลังจบการฝึกและได้กลับมายังร้านของตัวเองที่คิตะคาตะตกแต่งใหม่ให้เรี่ยมเร้เรไรแล้ว (เขาควบคุมขั้นตอนการก่อสร้างและตกแต่งภายใน รวมถึงเลือกเฟอร์นิเจอร์เองอีกด้วย) พ่อครัวเหล่านั้นและพวกเราเหล่าคนอ่านก็จะได้เข้าใจเองว่า ทั้งหมดนั้นทำไปเพื่ออะไร

ถึงแม้วิธีการของคิตะคาตะจะค่อนข้างเผด็จการ (“ห้ามตั้งคำถาม!”) จนบางครั้งก็ตลกในตรรกะไปสักหน่อย เช่น ฟื้นฟูร้านราเม็งด้วยการให้ไปทำอย่างอื่นขาย หรือทุบร้านนี้ไปซะแล้วไปเปิดใหม่ที่อื่น (มันร้านของเขานะเว่ยเฮ่ย) แต่แท้จริงแล้วเขาทำไปเพื่อให้เหล่าพ่อครัวได้พบกับสิ่งสำคัญที่สุดที่หายไปของพวกเขา นั่นก็คือความรู้สึกดีๆ ในช่วงเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มมีความสุขของลูกค้าอีกครั้งนั่นเอง

เรื่องราวของคิตะคาตะยังมีต่อใน ซูเปอร์กุ๊ก กระตุกต่อมอร่อย 2 (Goku Shoku King | บูรพัฒน์, 5 เล่มจบ) ในภาคสั้นๆ นี้ เขาต้องเผชิญหน้ากับโคฟุคุคลับ เครือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มุ่งยึดครองธุรกิจร้านอาหารทั้งประเทศด้วยอาหารตำรับเกียวโต โดยเอาเนื้อปลาปักเป้าและวัตถุดิบชั้นเลิศมาปรุงอาหารขายในราคาถูก ทำเอาร้านเล็กๆ ในเกียวโตร้อนๆ หนาวๆ ไปตามๆ กัน เมื่อคิตะคาตะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือร้านเหล่านั้น โคฟุคุคลับก็โกรธแค้นและมุ่งเป้าหมายไปเล่นงานโกะเรียวคาคุเทย์ จุดที่ชอบของภาคนี้คือตอนที่คิตะคาตะฟื้นฟูร้านอาหารในละแวกเดียวกัน 5 ร้านรวดโดยสร้างโจทย์ที่ตั้งใจจะให้ทุกร้านได้ตระหนักถึงหัวใจในการทำร้านอาหารของตัวเองอีกครั้งนัั้นเป็นฉากที่ทรงพลังมากทีเดียว


“ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องมีความทรงจำเกี่ยวกับอาหารที่ลืมไม่ลงอยู่แน่ๆ”


ความประทับใจเมื่อครั้งเข้าโรงพยาบาลยังทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองและการ์ตูนอาหารในยุคนั้น กลั่นกรองออกมาเป็นผลงานเรื่อง โกคุโด เมชิ (Gokudo Meshi, 2006) เรื่องราวประเพณีแปลกๆ ทุกคืนวันคริสต์มาสอีฟของเหล่านักโทษในเรือนจำที่โอซาก้า พวกเขาจะมานั่งล้อมวงประชันการเล่าเรื่องอาหารในความทรงจำของตัวเองว่าของใคร (ฟังแล้วน่า) จะอร่อยกว่ากัน ซึ่งแสดงให้เห็นความผูกพันของผู้คนต่อความทรงจำเกี่ยวกับอาหารได้อย่างลึกซึ้ง การ์ตูนเรื่องนี้โด่งดังจนได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

“สิ่งที่ผมจำได้ดีที่สุดคือข้าวห่อสาหร่ายที่แม่ทำให้ในเช้าวันงานกีฬาตอนเด็กๆ ระหว่างที่ทำไปก็กินไป ความอร่อยนั้นมันรุนแรงจนตอนนี้ก็ยังจำได้ดี ประสบการณ์การกินแบบนี้แหละที่ยังไม่เคยมีใครวาดมาก่อน ผมก็เลยเริ่มวาดการ์ตูนอาหารแบบนี้” อ. สึจิยามะกล่าว

Untitled-3ทุกครั้งที่ไปร้านอาหารเพื่อเก็บข้อมูล เขาไม่เคยคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายภาพอาหาร แต่ตั้งใจลิ้มรสอาหาร ดื่มสุรา แกล้มบทสนทนาสนุกๆ กับทั้งเจ้าของร้านและลูกค้าที่แวะเวียนผ่านมา เพื่อซึมซับเอาบรรยากาศและความรู้สึกไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเขายืนยันเองว่าทำแบบนี้แล้วเขียนการ์ตูนได้ดีกว่า ด้วยความคิดที่ว่าถึงจะมีการ์ตูนที่มีภาพอาหารอยู่มากมาย แต่การ์ตูนที่ขุดลึกลงไปในใจคนกินกลับไม่มีอยู่เลย การ์ตูนของอ.สึจิยามะจึงไม่เหมือนใครตรงที่ไม่ได้พูดถึงแต่ฝั่งของพ่อครัวเท่านั้น

ผลงานปฏิวัติวงการอีกเรื่องหนึ่งของเขาคือ ยุทธภูมิกระเพาะเหล็ก (Kuishinbou, Gourmet Fighter | บูรพัฒน์, 24 เล่มจบ) โอฮาระ มังทาโร่ พนักงานออฟฟิศผู้รักการกินเห็นป้ายประกาศว่าหากกินข้าวหมูทอด 10 ชาม ได้ภายใน 30 นาที ก็จะได้เงินรางวัลไปเลย 10,000 เยน ด้วยความบ่จี๊และกำลังหิวสุดๆ เขาจึงตัดสินใจเข้าไปท้าทาย แต่กินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องยกธงขาว กระนั้นเขาก็ได้พบกับโปรฟู้ดไฟเตอร์ (นักกินจุมืออาชีพ) ที่เล็งเห็นคุณสมบัติในตัวเขา จึงชักชวนเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อล้ม OKFF กลุ่มฟู้ดไฟเตอร์ที่กินจุโดยไม่ให้เกียรติอาหารและพ่อครัว (เช่น โกงโดยเอาขนมปังแช่น้ำแล้วซด)

Coverเนื้อหา 24 เล่มของการ์ตูนอาหารแนวแปลกใหม่ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการแข่งขันทำอาหารแต่กลับเป็นการแข่งกินจุยัดทะนานเรื่องนี้ เริ่มต้นจากชีวิตของมังทาโร่ที่เริ่มหันเหเข้าสู่วงการนักกินจุ ออกตะลอนท้าทายทั่วญี่ปุ่นเพื่อฝึกฝน ต่อด้วยการแข่งขันกินจุระดับประเทศ และการแข่งขันในต่างประเทศ ระหว่างทางนั้นคู่แข่งและอาหารที่นำมาเป็นโจทย์แข่งกินจุกันนั้นก็ทวีความยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ ผู้อ่านอย่างเราก็จะได้เรียนรู้เทคนิคการกินสิ่งต่างๆ ให้ได้เยอะๆ โดยที่ยังอร่อยอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังได้เปลี่ยนความเข้าใจผิดๆ หลายอย่างผ่านการอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เช่น คนอ้วนไม่ได้กินได้เยอะกว่าคนผอม หรือว่าการไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันนั่นแหละที่จะทำให้เรากินเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์มื้อเย็นได้ไม่คุ้ม

ในปี 2007 การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลสมาคมนักเขียนการ์ตูนแห่งประเทศญี่ปุ่นครั้งที่ 36 ได้รับการดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์คนแสดง และยังมีภาคต่อเป็นศึกกินจุระดับมัธยมในชื่อ ชมรมกระเพาะเหล็ก (Oogui Koushien | 6 เล่มจบ) อีกด้วย

“ก่อนหน้านี้ได้ร่วมงานกับคุณมาซายูกิ คุซุมิ ซึ่งเขาเคยร่วมงานกับอาจารย์ทานิกุจิ จิโร่ ที่วาดภาพได้สวยสุดๆ ผมเองก็ต้องฝึกวาดภาพให้เก่งขึ้น เร็วขึ้นอีก เพื่อไม่ให้แพ้ จริงๆ ถ้ายอมรับความพ่ายแพ้ไปอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ (หัวเราะ)” อ. สึจิยามะ พูดถึงชีวิตนักเขียนการ์ตูนวัยเลยเกษียณมาหลายปีของเขา

“ผมใช้ชีวิตในฐานะนักเขียนการ์ตูนเรื่อยมา คนรอบตัวที่เจอกันในงานเลี้ยงรุ่นก็เกษียณไปหมดแล้ว มองดูรูปหลานในมือถือผมก็คิดว่าน่าจะได้เวลาเกษียณตัวเองแล้วเหมือนกัน แต่ความกลัวจะว่างงานมันก็ติดแน่นอยู่ในหัว เป็นมาตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ช่วงนั้นงานมันไม่ค่อยจะมี ฉะนั้นมีงานอะไรเข้ามาก็เลยมักจะพูดว่า ทำครับ ทำครับ อยู่ตลอด.. ก็อยากจะขอบคุณตัวเองในตอนนั้น ที่ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีเวลาพักเลย”

20130321050258_170353ตลอดหลายปี อ.สึจิยามะเป็นนักเขียนที่รังสรรค์ผลงานการ์ตูนชั้นยอดไว้กว่า 36 เรื่อง นอกจากฝีมือในการวาดภาพที่ไม่หยุดนิ่งแล้ว หากสังเกตในผลงานยุคหลังอย่าง จอมเก๋า เจ้าราเม็ง (Jadou | บูรพัฒน์, 3 เล่ม) ซึ่งแม้จะมีฉากการทำราเม็งและคิดค้นสูตรราเม็งใหม่ๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่การ์ตูนที่แข่งฝีมือการทำอาหารกัน หากแต่เป็นการ์ตูนหักเหลี่ยมเฉือนคมทางธุรกิจที่มีบรรยากาศเคลือบแคลงดำมืด ต่างจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีบรรยากาศลูกผู้ชายเลือดร้อนมากกว่านี้ แสดงให้เห็นความพยายามของเขาที่จะนำเสนอความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการ์ตูนอาหารอยู่เสมอแม้อยู่ในวัย 60 แล้ว โดยในปี 2012 ที่ผ่านมา อ.สึจิยามะก็ได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อการ์ตูนอาหาร ณ พิพิธภัณฑ์มังงะนานาชาติเกียวโตอีกด้วย

เพราะอาหารเป็นสิ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้ในการดำรงชีวิตของคนเรา อาหารจึงมักจะผูกโยงอยู่กับความทรงจำ ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งสุข ทั้งเศร้า คุณเองก็คงจะมีอาหารสักจานที่หากได้คิดย้อนกลับไปทีไร รสสัมผัสของมันก็จะผุดกลับขึ้นมาบนลิ้นและทำให้เราน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวอยู่เหมือนกัน และนั่นก็คือสิ่งที่อ.สึจิยามะพยายามนำเสนอมาตลอดหลายปี เขาไม่ได้เป็นเพียงนักเขียนการ์ตูนที่สามารถรังสรรค์การ์ตูนอาหารออกมาได้อย่างโดดเด่น แต่ยังเป็นผู้บุกเบิกโลกอันกว้างใหญ่ เนื้อเรื่องอันแปลกใหม่ รวมไปถึงมุมมองในแง่อื่นๆ ของการ์ตูนอาหารที่แม้แต่นักเขียนชื่อดังหลายๆ คน ก็ไม่สามารถก้าวเข้าไปได้ หากวันนี้คุณได้อิ่มอร่อยกับทั้งการ์ตูนและอาหารอย่างเต็มที่แล้วล่ะก็ ขอให้ใช้พลังงานนั้นให้คุ้มด้วยการลองมองชีวิตและโลกรอบตัวคุณในแง่ที่แตกต่างออกไป ไม่แน่ว่าคุณเองก็อาจจะเป็นผู้ที่บุกเบิกโลกใบใหม่ให้คนอื่นๆ ได้เช่นกัน

SPOTLIGHT! เรื่องนี้ที่เราแนะนำ

จอมเก๋า เจ้าราเม็ง (Jadou | 3 เล่ม ยังไม่จบ)

คาดว่าทั่วประเทศมีร้านราเม็งเปิดทำการอยู่กว่า 35,000 ร้าน แต่ที่ได้รับยกย่องว่ามาแรงที่สุดก็คือ เม็งโดโคโระ เท็นชุคาคุ ร้านราเม็งซึ่งไต่เต้ามาจากการเป็นราเม็งแผงลอย จนกลายเป็นร้านใหญ่ที่ขยายไปถึง 3 สาขา ของ คามิโจ ริวจิ อดีตนักเลงหัวไม้ ที่พลิกชีวิตมาเป็นมหาเศรษฐีมีทั้งคฤหาสน์และรถหรูๆ ได้ด้วยราเม็ง เรื่องราวของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มที่มีฝันจะเป็นใหญ่มากมาย ทว่าวันหนึ่งเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหัน ทำให้ภรรยาม่ายต้องมารับช่วงต่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ และบรรยากาศระหว่างหัวหน้าร้านสาขาก็เริ่มไม่ชอบมาพากล

ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ร้านเท็นชุคาคุสาขาฮนมารุก็ได้รับพนักงานใหม่เข้ามา 3 คน หนึ่งในนั้นคือ เฮียวโด ชินสุเกะ นักศึกษาบริหารธุรกิจที่ได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานในบริษัทชั้นนำหลายสิบแห่ง แต่กลับสละสิทธิ์และลาออกกลางคันมาสมัครงานร้านราเม็งด้วยเหตุผลบางอย่าง การมาของเขากำลังจะสร้างจุดเปลี่ยนมหาศาลแก่ร้านเท็นชุคาคุ

แม้จะมีฉากการทำราเม็งและคิดค้นสูตรราเม็งใหม่ๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่การ์ตูนที่แข่งฝีมือการทำอาหารกัน หากแต่เป็นการ์ตูนหักเหลี่ยมเฉือนคมทางธุรกิจที่มีบรรยากาศเคลือบแคลงดำมืดสมกับชื่อเรื่องภาษาญี่ปุ่น 邪道 ซึ่งแปลว่า นอกรีต ต่างจากการ์ตูนเรื่องอื่นๆ ของอ.สึจิยามะ ซึ่งมีบรรยากาศลูกผู้ชายเลือดร้อนมากกว่านี้ ทั้งบนหน้าปกและในเรื่องจะปรากฏภาพของงูเห่าและเงินเป็นสัญลักษณ์อยู่เป็นระยะๆ แทบทุกตัวละครมีอดีต ความลับ เป้าหมาย ที่แตกต่างกันกันไป สิ่งเหล่านี้เป็นแรงจูงใจให้ตัวละครแต่ละตัวตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ซึ่งผิดเป็นอย่างยิ่ง คนอ่านอย่างเราก็จะได้ลุ้นแทบทุกหน้าว่าใครจะปลดปล่อยด้านมืดของตัวเองออกมาก่อนกัน ปัจจุบันวางแผงในไทยแล้ว 3 เล่ม ส่วนที่ญี่ปุ่นจบแล้วที่เล่ม 4

เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูล excite.co.jp

ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับแวดวงการ์ตูนและวัฒนธรรมญี่ปุ่นกับอนิไทม์!
Posts created 2395

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top

kısa abiye

maltepe escort

nutten erotikmassage Berlin transe münchen nutte frankfurt nutten huren hamburg hobbyhuren stuttgart nutten dusseldorf shemal köln erotic massage Nürnberg

izmir escort